วันพุธที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ของมงคลรับตรุษจีน

 
        คนเชื้อสายจีนเชื่อว่าหากติด ‘กลอนคู่-อักษร-รูปภาพ’ มงคลฉลองตรุษจีนไว้ที่บ้านจะนำพาความเป็นสิริมงคล ความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ชีวิตและครอบครัวตลอดทั้งปี พร้อมเป็นยันต์คุ้มภัย ขับไล่สิ่งชั่วร้ายไปได้
        ประเพณี ความเชื่อ ของชาวจีน เรื่องการติดและประดับตัวอักษร, คำกลอน, ประโยค, คำอวยพรที่มีความหมายเป็นสิริมงคลไว้บริเวณ หน้าบ้าน, ประตู, หน้าต่าง และภายในบ้าน หรือตามร้านค้าขายนั้น เป็นวัฒนธรรมที่สืบทอดและได้รับความนิยมกันจนถึงทุกวันนี้ โดยเฉพาะเทศกาลตรุษจีน ซึ่งถือว่าเป็นการเริ่มต้นปี ทั้งเป็นการรับสิ่งดีๆ เข้าสู่ชีวิตอีกด้วย โดยจะเปลี่ยนเพียงปีละ 1 ครั้ง เหมือนเป็นการฉลองตรุษจีน ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่
ในอดีตชาวจีนนิยมให้ลูกสาวเป็นผู้ติดคำมงคล กลอนคู่ ก่อนเทศกาลตรุษจีนประมาณ 10 วัน ส่วนพ่อและพี่ชายจะเป็นผู้จัดหามาให้ ถ้าบ้านไหนไม่ติดจะถือว่าแปลก เพราะการติดประดับคำมงคล กลอนคู่ ภาพวาดที่มีความหมายเป็นสิริมงคลนั้นถือเป็นเหมือนประเพณี ศิลปะของคนจีนที่ขาดไม่ได้ไปแล้ว


b-2


     อย่างไรก็ตามตัวอักษรมงคล, คำอวยพร, กลอนคู่, สามารถแบ่งออกตามสถานที่ได้ 2 ประเภท คือ
1.บ้านกรณีติดในบ้านนิยมติดคำที่เป็นสิริมงคลที่เกี่ยวข้องกับครอบครัว ที่อยู่อาศัย เช่น ปลอดภัย, สันติสุข,สุขภาพดี, บ้านนี้มั่งคั่ง
2.สถานที่ทำงาน นิยมติดคำมงคล หรือกลองคู่ที่เกี่ยวข้องกับการค้า เช่น เงินทองไหลมา, กิจการธุรกิจเจริญ พัฒนา เป็นต้น
3 จุดภายในบ้านที่ติดแล้วเป็นมงคล สำหรับคำมงคลที่นิยมติดบริเวณ
หน้าบ้าน ติดกลอนคู่ที่เป็นกลอนที่มีความหมายมงคลในแนวตั้ง 2 ด้านขนานกันโดยคำกลอนต้องสัมผัสกัน นิยมติดอยู่ระหว่างป้ายคำอวยพรที่มีลักษณะเป็นแนวนอน ซึ่งความหมายของคำอวยพรจะขึ้นอยู่กับความต้องการของเจ้าบ้านเป็นหลัก เช่น คนในบ้านอายุยืน, เก็บเกี่ยวสมบูรณ์, เด็กเรียนเก่ง, บ้านเมืองสงบสุข, ฝนตกตามฤดูกาล, ฤดูใบไม้ผลิเข้าสู่แผ่นดิน เป็นต้น
ตรงกระจกหน้าต่างหรือบางประตูทั้งสองข้างบริเวณหน้าบ้าน หรือในบ้าน-นิยมติดคำว่า ‘ฝู’ (fu) แปลว่าสันติสุข หรือนำตัวอักษรมากลับหัว จะออกเสียงว่า ‘เต้า’ ฟ้องเสียงกับคำที่มีความหมายว่า มาถึง หรือเชื่อว่าวาสนามาถึงบ้าน อีกคำที่ได้รับความนิยมนำมาติดบริเวณหน้าต่างหรือบานประตูคือ จาว ฉ้าย จิ้น เปา (zhao cai jin bao) ให้นำคำทั้ง 4 มารวมกันเป็น 1 คำ โดยใช้ศิลปะการตัดกระดาษของจีน หรือการเขียน อาจมีรูปนก และดอกไม้ตกแต่งอยู่ด้วย ซึ่งมีความหมายว่า เงินทองไหลมา
ในบ้าน ติดภาพวาดฉลองวันตรุษจีน ได้แก่
1.เด็กร่างท้วมอุ้มปลา 1 ตัว มักจะเป็นเด็กชาย เชื่อว่าเด็ก หมายความว่ามีลูกหลานมากมายวาสนาดี ส่วนปลา ออกเสียงว่า หยู๋ง (yu) ฟ้องเสียงเหมือนคำว่า เหลือ หมายความว่าเหลือกินเหลือใช้ นิยมติดในห้องรับแขก ห้องนอน
2.รูปผู้เฒ่า มีลูกท้อ ต้นสน กวางและนกกระเรียน เชื่อว่าผู้เฒ่า หมายถึงอวยพรให้ผู้ใหญ่อายุยืนยาว กวางและนกกระเรียนเป็นสัตว์ที่อยู่ใกล้เซียน หมายความว่า อายุยืน ส่วนต้นสน เป็นพืชที่มีชีวิตชีวาตลอด 4 ฤดู หมายความว่าธุรกิจเจริญพัฒนา และอายุยืน
3.รูปภาพจากวรรณคดี เช่น 3 ก๊ก, พระนางงูขาว, ไซอิ้ว, ความรักในหอแดงเป็นต้น

วันพุธที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2556

การทำนาแบบต่างๆ
 
วิธีการปลูกข้าว               
        สำหรับการทำนาในประเทศไทยมีปัจจัยหลัก 2 ประการ เป็นพื้นฐานของการทำนาและเป็นตัวกำหนดวิธีการปลูกข้าว และพันธุ์ข้าวที่จะใช้ในการทำนาด้วยหลัก 2 ประการ คือ

1. สภาพพื้นที่ ( ลักษณะเป็นพื้นที่สูงหรือต่ำ ) และภูมิอากาศ
2. สภาพน้ำสำหรับการทำนา
ฤดูทำนาปีในประเทศไทยปกติจะเริ่มราวเดือนพฤษภาคมถึงกรกฏาคมของทุกปี ขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำฝน เมื่อ 3 เดือนผ่านไป ข้าวที่ปักดำหรือหว่านเอาไว้จะสุกงอมเต็มที่พร้อมเก็บเกี่ยว ส่วนนาปรัง สามารถทำได้ตลอดปี เพราะพันธุ์ข้าวที่ใช้ปลูกเป็นพันธุ์ที่ไม่ไวต่อช่วงแสง เมื่อข้าวเจริญเติบโตครบกำหนดอายุก็จะสามารถเก็บเกี่ยวได้

การเตรียมดิน
ก่อนการทำนาจะมีการเตรียมดินอยู่ 3 ขั้นตอน
1. การไถดะ เป็นการไถครั้งแรกตามแนวยาวของพื้นที่กระทงนา (กรณีที่แปลงนาเป็นกระทงย่อยๆ หลายกระทงในหนึ่งแปลงนา) เมื่อไถดะจะช่วยพลิกดินเพื่อให้ดินชั้นล่างได้ขึ้นมาสัมผัสอากาศ ออกซิเจน และเป็นการตากดินเพื่อทำลายวัชพืช โรคพืชบางชนิด การไถดะจะเริ่มทำเมื่อฝนตกครั้งแรกในปีฤดูกาลใหม่ หลังจากไถดะจะตากดินเอาไว้ประมาณ 1 - 2 สัปดาห์

2. การไถแปร หลังจากที่ตากดินเอาไว้พอสมควรแล้ว การไถแปรจะช่วยพลิกดินที่กลบเอาขึ้นการอีกครั้ง เพื่อทำลายวัชพืชที่ขึ้นใหม่ และเป็นการย่อยดินให้มีขนาดเล็กลง จำนวนครั้งของการไถแปรจึงขึ้นอยู่กับชนิดและปริมาณของวัชพืช ลักษณะดินและระดับน้ำ ในพื้นที่ขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำฝนด้วย แต่โดยทั่วไปแล้วจะไถแปรเพียงครั้งเดียว
3. การคราด เพื่อเอาเศษวัชพืชออกจากกระทงนา และย่อยดินให้มีขนาดเล็กลงอีก จนเหมาะแก่การเจริญของข้าว ทั้งยังเป็นการปรับระดับพื้นที่ให้มีความสม่ำเสมอ เพื่อสะดวกในการควบคุม ดูแลการให้น้ำ
 
การปลูก

          การปลูกข้าวสามารถแบ่งได้เป็น 2 วิธี คือ การปลูกด้วยเมล็ดโดยตรง ได้แก่ การทำนาหยอดและนาหว่าน และ การเพาะเมล็ดในที่หนึ่งก่อน แล้วนำต้นอ่อนไปปลูกในที่อื่นๆ ได้แก่ การทำนาดำ
 
การทำนาหยอด

          การทำนาหยอด เป็นวิธีการปลูกข้าวที่อาศัยน้ำฝน หยอดเมล็ดข้าวแห้ง ลงไปในดินเป็นหลุมๆ หรือโรยเป็นแถวแล้วกลบฝังเมล็ดข้าว เมื่อฝนตกลงมาดินมีความชื้นพอเหมาะ เมล็ดก็จะงอกเป็นต้น นิยมทำในพื้นที่ข้าวไร่ หรือนาในเขตที่การกระจายของฝนไม่แน่นอน แบ่งเป็น 2 สภาพ ได้แก่
- นาหยอดในสภาพข้าวไร่ พื้นที่ส่วนใหญ่มักเป็นที่ลาดชัน เช่น ที่เชิงเขาเป็นต้น ปริมาณน้ำฝนไม่แน่นอน สภาพพื้นที่ส่วนใหญ่ไม่สามารถเตรียมดินได้ จึงจำเป็นต้องหยอดข้าวเป็นหลุม
- นาหยอดในสภาพที่ราบสูง เช่นภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือ ส่วนใหญ่เป็นที่ราบเชิงเขาหรือหุบเขา การหยอดอาจหยอดเป็นหลุมหรือใช้เครื่องมือหยอด หรือโรยเป็นแถวแล้วคราดกลบ นาหยอดในสภาพนี้ให้ผลผลิตสูงกว่านาหยอดในสภาพไร่มาก
 
การหว่านข้าวแห้ง

แบ่งตามช่วงระยะเวลาของการหว่านได้ 3 วิธี คือ
          การหว่านหลังขี้ไถ ใช้ในกรณีที่ฝนมาล่าช้าและตกชุก มีเวลาเตรียมดินน้อย จึงมีการไถดะเพียงครั้งเดียวและไถแปรอีกครั้งหนึ่ง แล้วหว่านเมล็ดข้าวลงหลังขี้ไถ เมล็ดพันธุ์อาจเสียหายเพราะหนู และอาจมีวัชพืชในแปลงนามาก
         การหว่านคราดกลบ เป็นวิธีที่นิยมมากที่สุด จะทำหลังจากที่ไถแปรครั้งสุดท้ายแล้วคราดกลบ จะได้ต้นข้าวที่งอกสม่ำเสมอ
         การหว่านไถกลบ มักทำเมื่อถึงระยะเวลาที่ต้องหว่าน แต่ฝนยังไม่ตกและดินมีความชื้นพอควร หว่านเมล็ดข้าวหลังขี้ไถแล้วไถแปรอีกครั้ง เมล็ดข้าวที่หว่านจะอยู่ลึกและเริ่มงอกโดยอาศัยความชื้นในดิน
         การหว่านข้าวงอก (หว่านน้ำตม) เป็นการหว่านเมล็ดข้าวที่ถูกเพาะให้รากงอกก่อนที่จะนำไปหว่านในที่ที่มีน้ำท่วมขัง เพราะหากไม่เพาะเมล็ดเสียก่อน เมื่อหว่านแล้วเมล็ดข้าวอาจเน่าเสียได้ การเพาะข้าวทอดกล้า ทำโดยการเอาเมล็ดข้าวใส่กระบุง ไปแช่น้ำเพื่อให้เมล็ดที่มีน้ำหนักเบาหรือลีบลอยขึ้นมาแล้วคัดทิ้ง แล้วนำเมล็ดถ่ายลงในกระบุงที่มีหญ้าแห้งกรุไว้ หมั่นรดน้ำเรื่อยไป อย่าให้ข้าวแตกหน่อ แล้วนำไปหว่านในที่นาที่เตรียมดินไว้แล้ว วิธีการการปลูกข้าวโดยการหว่านข้าวแห้งหรือหว่านสำรวย
การใส่ปุ๋ย ข้าวที่ปลูกในช่วงฝนแล้ง เป็นการปลูกข้าวล่าช้ากว่าฤดูกาลมาก จึงมีความจำเป็นที่จะต้องใส่ปุ๋ยช่วยเร ่งให้ต้นข้าวมีการเจริญเติบโตได้เต็มที่ จึงจะทำให้ได้ผลผลิตสูงใกล้เคียงกับการทำนาดำตามฤดูกาลปกติ

การใส่ปุ๋ยครั้งที่ 1

          ในพื้นที่ดินเหนียวให้ใส่ปุ๋ยสูตร 16-20-0, 18-22-0 หรือ 20-20-0 สูตรใดสูตรหนึ่งในอัตราไร่ละ 25 กก. ในดินทรายให้ใส่ปุ๋ยสูตร 16-16-8 ในอัตราไร่ ละ 25 กก. โดยใส่ปุ๋ยหลังจากข้าวงอกแล้ว 5-6 วัน

การใส่ปุ๋ยครั้งที่ 2
          ให้ใส่ปุ๋ยหลังจากข้าวงอกแล้ว 40-45 วัน โดยใช้ปุ๋ยแอมโมเนียมซัลเฟต หรือแอมฮมเนียมคลอไรด์ ไร่ละ 25-30 กก. หรือปุ๋ยยูเรีย ไร่ละ 10-15 กก. ในการใส่ปุ๋ยควรจะคำนึงถึงว่าดินจะต้องเปียกแฉะหรือมีน้ำขังไม่ควรเกิน 20 เซ็นติเมตร ถ้าหากดินแห้งหรือระดับน้ำมาก กว่านี้ ให้เลื่อนการใส่ปุ๋ยออกไปมิฉะนั้นจะทำให้การใช้ปุ๋ยไม่มีประสิทธิภาพ เกิดการสูญเสียปุ๋ย ทำให้ต้นข้าวได้รับปุ๋ย ไม่พอเพียง ผลผลิตจะต่ำ
 
การทำนาดำ

          เป็นการปลูกข้าวโดยเพาะเมล็ดให้งอกและเจริญเติบโตในระยะหนึ่ง แล้วย้ายไปปลูกในที่หนึ่ง สามารถควบคุมระดับน้ำ วัชพืชได้ การทำนาดำแบ่งได้เป็น 2 ขั้นตอน คือ
การตกกล้า เพาะเมล็ดข้าวเปลือกให้มีรากงอกยาว 3 - 5 มิลลิเมตร นำไปหว่านในแปลงกล้า ช่วงระยะ 7 วันแรก ต้องควบคุมน้ำไม่ให้ท่วมแปลงกล้า และจะสามารถถอนกล้าไปปักดำได้เมื่อมีอายุประมาณ 20 - 30 วัน
การปักดำ ชาวนาจะนำกล้าที่ถอนแล้วไปปักดำในแปลงปักดำ ระยะห่างระหว่างกล้าแต่ละหลุมจะมีความแตกต่างกันขึ้นกับลักษณะของดิน คือ ถ้าเป็นนาลุ่มปักดำระยะห่าง เพราะข้าวจะแตกกอใหญ่ แต่ถ้าเป็นนาดอนปักดำค่อนข้างถี่ เพราะข้าวจะไม่ค่อยแตกกอ
 
การเก็บเกี่ยว

        หลังจากที่ข้าวออกดอกหรือออกรวงประมาณ 20 วัน ชาวนาจะเร่งระบายน้ำออก เพื่อเป็นการเร่งให้ข้าวสุกพร้อมๆ กัน และทำให้เมล็ดมีความชื้นไม่สูงเกินไป จะสามารถเก็บเกี่ยวได้หลังจากระบายน้ำออกประมาณ 10 วัน ระยะเวลาที่เหมาะสมสำหรับการเก็บเกี่ยว เรียกว่า ระยะพลับพลึง คือสังเกตที่ปลายรวงจะมีสีเหลือง กลางรวงเป็นสีตองอ่อน การเก็บเกี่ยวในระยะนี้จะได้เมล็ดข้าวที่มีความแข็งแกร่ง มีน้ำหนัก และมีคุณภาพในการสี
 
การนวดข้าว

          หลังจากตากข้าว ชาวนาจะขนเข้ามาในลานนวด จากนั้นก็นวดเอาเมล็ดข้าวออกจากรวง บางแห่งใช้แรงงานคน บางแห่งใช้ควายหรือวัวย่ำ แต่ปัจจุบันมีการใช้เครื่องนวดข้าวมาช่วยในการนวด
 
การเก็บรักษา
         
          เมล็ดข้าวที่นวดฝัดทำความสะอาดแล้วควรตากให้มีความชื้นประมาณ 14% จึงนำเข้าเก็บในยุ้งฉาง ยุ้งฉางที่ดีควรมีลักษณะดังต่อไปนี้
อยู่ในสภาพที่มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก การใช้ลวดตาข่ายกั้นให้มีร่องระบายอากาศกลางยุ้งฉางจะช่วยให้การถ่ายเทอากศดียิ่งขึ้น คุณภาพเมล็ดข้าวจะคงสภาพดีอยู่นาน
อยู่ใกล้บริเวณบ้านและติดถนน สามารถขนส่งได้สะดวก
เมล็ดข้าวที่จะเก็บไว้ทำพันธุ์ ต้องแยกจากเมล็ดข้าวบริโภค โดยอาจบรรจุกระสอบ มีป้ายบอกวันบรรจุ และชื่อพันธุ์แยกไว้ส่วนใดส่วนหนึ่งในยุ้งฉาง เพื่อสะดวกในการขนย้ายไปปลูก
ก่อนนำข้าวเข้าเก็บรักษา ควรตรวจสภาพยุ้งฉางทุกครั้ง ทั้งเรื่องความะอาดและสภาพของยุ้งฉาง ซึ่งอาจมีร่องรอยของหนูกัดแทะจนทำให้นกสามารถรอดเข้าไปจิกกินข้าวได้ รูหรือร่องต่าง ๆ ที่ปิดไม่สนิทเหล่านี้ต้องได้รับการซ่อมแซมให้เรียบร้อยก่อน

โทรเลขไทย

telegram.JPG


เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2551 ได้ไปส่งโทรเลข ที่ไปรษณีย์กลาง เพื่อระลึกถึงและเก็บไว้เป็นที่ระลึก ก็จะยกเลิกการให้บริการตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2551 แล้วครับ โทรเลขไทยถือว่าเป็น จุดเริ่มต้นของการสื่อสารแบบ ที่จะต้องใช้สาย และ การเคาะรหัส ส่วนตัวผมคิดว่าเป็นจุดเริ่มต้นของเทคโนโลยีในประเทศไทย

                โทรเลข คือ ระบบโทรคมนาคมซึ่งใช้อุปกรณ์ทางไฟฟ้าส่งข้อความจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง เดิมส่งโดยอาศัยสายตัวนำที่โยงติดต่อถึงกัน และอาศัยอำนาจแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นหลักสำคัญ แต่ระยะหลังมีการใช้วิธีการส่งไร้สาย ที่เรียกว่า วิทยุโทรเลข (radio telegraph , wrieless telegraph หรือ continuous wave ย่อว่า CW)
ความเป็นมาของโทรเลขในเมืองไทย
เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2412 รัฐบาลสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้อนุมัติให้ชาวอังกฤษ 2 นาย จัดตั้งบริษัทก่อสร้างและบำรุงรักษาทางโทรเลขภายในราชอาณาจักรตามคำเสนอขอแต่การดำเนินงานของบุคคลทั้งสองล้มเหลว
ดังนั้น ในปี พ.ศ. 2418 รัฐบาลไทยจึงได้ดำเนินการเอง โดยมอบหมายให้กรมกลาโหม สร้างทางสายโทรเลขสายแรก จากกรุงเทพฯ ไปปากน้ำ (จังหวัดสมุทรปราการ) และวางสายเคเบิลโทรเลขได้น้ำต่อออกไปถึงกระโจมไฟ นอกสันดอนปากแม่น้ำเจ้าพระยา รวมระยะทางยาว 45 กิโลเมตรเพื่อทางราชการใช้ส่งข่าวเกี่ยวกับการผ่านเข้าออกของเรือกลไฟ พ.ศ. 2421 กรมกลาโหมได้สร้างทางสายโทรเลขสายที่สอง จากกรุงเทพฯ ถึงพระราชวังบางปะอิน และภายหลังได้ขยายทางสายออกไปถึงกรุงเก่า (จังหวัดพระนครศรีอยุธยา) เพื่อใช้ประโยชน์ในทางราชการเช่นกัน
ในปี พ.ศ. 2426 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งกรมโทรเลขขึ้นรับช่วงงานโทรเลขจากกรมกลาโหมมาทำต่อไป ได้เริ่มสร้างทางสายใช้ลวดเหล็กอาบสังกะสีเป็นสายแรกจากกรุงเทพฯ ผ่านปราจีนบุรี กบินทร์บุรี อรัญประเทศ ศรีโสภณ ไปถึงคลองกำปงปลัก ในจังหวัดพระตะบอง (สมัยนั้นยังเป็นของไทย) และเชื่อมต่อกับสายโทรเลขอินโดจีนไปถึงเมืองไซ่ง่อน เป็นสายโทรเลขสายแรกที่ติดต่อกับต่างประเทศ ได้เปิดให้สาธารณะใช้เป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2426 ในปีเดียวกันนั้นก็ได้มีประกาศเป็นทางการให้สาธารณชนทั่วไปใช้โทรเลขสาย กรุงเทพฯ-สมุทรปราการ และกรุงเทพฯ-อยุธยา ได้ด้วย
พ.ศ. 2440 กรมโทรเลขได้สร้างทางสายกรุงเทพฯ ไปแม่สอด จังหวัดตาก ไปต่อกับทางสายโทรเลขของอังกฤษไปเมืองมะละแหม่ง และย่างกุ้ง
ทางภาคใต้ได้สร้างทางสายโทรเลขจากกรุงเทพฯ ผ่าน เพชรบุรี ชุมพร ทุ่งสง ไปหาดใหญ่ และสงขลา ต่อมาในปี พ.ศ. 2441 ได้สร้างทางสาย่อจากสงขลาออกไปถึงไทรบุรี (เดิมเป็นของเมืองไทย ปัจจุบันเป็นรัฐเคดาห์ ประเทศมาเลเซีย) และกัวลามุดา เชื่อมต่อกับสายโทรเลขของอังกฤษ ไปปีนังและสิงคโปร์
 
 
0099.JPG



หลักการทำงานของโทรเลข
เมื่อกดดันเคาะของเครื่องส่งเกิดวงจรปิด กระแสไฟฟ้าทำให้เกิดอำนาจแม่เหล็กรอบขดลวดในเครื่องรับ อำนาจแม่เหล็กและดูดแม่เหล็กมากระทบแกนเหล็ก ทำให้เกิดเสียงจังหวะเดียวกับที่กดดันเคาะ โดยเคาะให้เกิดเสียงเป็นรหัส จึงต้องมีการแปลสัญญาณโทรเลขเป็นสัญญาณข้อความ
ข้อดีของโทรเลข คือ
- สามารถส่งข่าวสารและข้อมูลไปได้ระยะทางไกลๆ
- ประหยัดค่าใช้จ่าย เพราะสามารถใช้บริการโทรเลขได้ในราคาถูก
ข้อเสียของโทรเลข คือ
- ต้องแปลรหัสโทรเลขทั้งขณะส่งและขณะรับ ทำให้เสียเวลา
- หากแปลรหัสผิดอาจทำให้ข่าวสารและข้อมูลนั้นๆ มีใจความเปลี่ยนไป

011.jpg 0072.jpg


การบริการสารนิเทศด้วยบริการโทรเลขในปัจจุบัน การสื่อสารแห่งประเทศไทย ได้พัฒนาการรับส่งโทรเลขด้วยการใช้เครื่องโทรพิมพ์สมัยใหม่ที่ควบคุมด้วยระบบไมโครคอมพิวเตอร์และสามารถติดต่อรับส่งได้ด้วยความเร็วสูงถึง 240 คำต่อนาที มาใช้อุปกรณ์รับส่งโทรเลข นอกจากนี้ยังมีการติดต่อชุมสายโทรเลขอัตโนมัติ ทำงานด้วยระบบคอมพิวเตอร์มากกว่า 20 ปีแล้ว ช่วงเวลารุ่งเรืองที่สุดของกิจการโทรเลขจะมีการส่ง-รับถึงวันละกว่า 40,000 ฉบับ
จอมพลสมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภานุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุ์วงศ์วรเดช อธิบดีกรมไปรษณีย์และกรมโทรเลขคนแรก

จะเห็นได้ว่า โทรเลขก็มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าเทคโนโลยีอื่นๆ แต่อาจเป็นเพราะโลกในยุคปัจจุบันก้าวหน้า จึงได้เกิดเทคโนโลยีใหม่ๆที่สะดวกรวดเร็วขึ้น จึงไม่นิยมและสนใจมากนัก อีกทั้งยังเสียเวลาในการจะไปส่งโทรเลขที่ไปรษณีย์ แต่โทรเลขก็มีข้อดี คือ ราคาในการส่งถูกกว่า ดังนั้นการใช้โทรเลขอาจจะขึ้นอยู่กับความนิยม และความถนัดของคนๆนั้นก็เป็นได้…
 
 
017.JPG
วิวัฒนาการของโทรเลข
แซมมอล มอร์ส นี่นะครับ เขาเป็นผู้ที่ทำให้การสื่อสารโทรเลขเกิดหรือว่าถือกำเนิดขึ้นมาได้นะครับ โดยได้คิดรหัสโทรเลขเป็นจุดและขีดเพื่อใช้ในการสื่อสารโทรเลขนะครับ จนถึงปี พ.ศ. 2387 ครับ แซมมวล มอร์ส ได้สร้างสายโทรเลขระหว่างเมืองบัลติมอร์กับวอชิงตันขึ้นเป็นครั้งแรกมีระยะทางยาวถึง 64 กิโลเมตร เชียวนะครับ ทำการส่งโทรเลขเป็นจุดและขีด ถือเป็นการเริ่มต้นการสื่อสารโทรเลขอย่างจริงจัง และขยายเครือข่ายเพิ่มขึ้นอย่างมากมายเลยที่เดียวเชียวนะครับ หลังจากนั้นการสื่อสารโทรเลขได้ถูกพัฒนาขึ้นมา ทั้งอุปกรณ์ในการสื่อสารโทรเลข ระบบที่ใช้งาน และเทคโนโลยีใหม่ๆ ของการสื่อสารโทรเลข เช่นโทรพิมพ์ และเทเล็กซ์ เป็นต้น
หลักการส่งและรับโทรเลข
ในการส่งโทรเลขนี้นะครับ ก็จะมีหลักการดังนี้ครับ ก็คือว่า ทางเครื่องส่งนี้จะต้องทำการแปลงรหัสนะครับ คือจากตัวเลขหรือตัวอักษร ที่เราเข้าใจแล้วทำการแปลงรหัสไปเป็นรหัสสัญญาณทางไฟฟ้า จากนั้นก็จะส่งไปตามสายสัญญาณพอไปถึงเครื่องรับแล้วนะครับ เครื่องรับก็จะทำการรับสัญญาณทางไฟฟ้านั้น มาทำการถอดรหัสทางไฟฟ้ามาเป็นตัวเลขหรือตัวอักษร ที่เราเข้าใจยังไงล่ะครับ

รหัสมอร์ส
รหัสมอร์ส เป็นรหัสที่ถูกสร้างขึ้นมาใช้ในระบบโทรเลขในสมัยเริ่มแรกโดยการใช้จุด และ ขีด ในการเข้ารหัสในการสื่อสารโดยจะนำจุดและขีด นำมารวมกันเป็นตัวอักษร หรือตัวเลขที่เราเข้าใจได้ ตัวอย่างรหัสมอร์สที่เราจะมานำเสนอมีดังนี้
A ._ B _… C _._. D _.. E . F .._. G _ _. H …. I .. J ._ _ _ K _._ L ._.. M _ _ N _. O _ _ _ P ._ _. Q _ _._ R ._. S … T _ U .._
V …_ W ._ _ X _.._ Y _._ _ Z _ _..
นี้ก็เป็นตัวอย่างของรหัสมอร์ส ที่ใช้ในการสื่อสารโทรเลข  ต่อไปนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องของรหัสโทรเลขกันนะครับ เนื่องจากรหัสมอร์สที่ผ่านมานั้นมีความยาวของรหัสของแต่ละตัวอักษรไม่เท่ากันนะครับ จึงเป็นการยากในการพัฒนาเครื่องสำหรับรับ-ส่ง โทรเลข ดังนั้นจึงได้มีการพัฒนารหัสโทรเลขขึ้นมาซึ่ง ความยาวของรหัสของแต่ละตัวอักษรหรือตัวเลขนั้นมีความยาว เท่ากันเช่น รหัส 5 หน่วย รหัส 6 หน่วย และรหัส 7 หน่วย ซึ่งองค์ประกอบของรหัสนี้จะไม่เรียกว่า จุดหรือขีด แต่จะเรียกว่า มอร์ค และ ช่องว่า แทน ต่อไปนี้จะเป็นตัวอย่างของรหัสโทรเลขชนิด 5 หน่วย

ตัวอักษร รหัสที่1 รหัสที่2 รหัสที่3 รหัสที่4 รหัสที่5
A M M S S S
B M S S M M
C S M M M S
D M S S M S
E M S S S S

วันพฤหัสบดีที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2556

สัญลักษณ์ประจำชาติไทย


สัญลักษณ์ประจำชาติไทย (Nation Identity) ..3 สิ่ง

 
นายยงยุทธ ติยะไพรัช โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี .แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี ในวันที่ 2 ตุลาคม 2544 ว่า คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ การกำหนดสัญลักษณ์ประจำชาติไทย (Nation Identity) ..3 สิ่ง ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายปองพล อดิเรกสาร) ประธานคณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติเสนอ ซึ่งจะเป็นการ ช่วยประชาสัมพันธ์ส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศไทย ดังนี้
     1. สัตว์ประจำชาติไทย คือ "ช้างไทย" Chang Thai (Elephant หรือ Elephas Maximas) 
     2. ดอกไม้ประจำชาติ คือ "ดอกราชพฤกษ์" (คูน) Ratchapruek (Cassiafistula Linn.X 
     3. สถาปัตยกรรมประจำชาติ คือ "ศาลาไทย" Sala Thai (Pavilion)
ทั้งนี้ .เนื่องจากกระทรวงการต่างประเทศ ได้เสนอข้อคิดเห็นเกี่ยวกับ การกำหนดสัญลักษณ์ประจำชาติ ไทย (Nation Identity) และการส่งเสริมสัญลักษณ์ประจำชาติไทย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการประชาสัมพันธ์ส่งเสริม ภาพลักษณ์ประเทศไทยให้มีผลระยะยาว .....ซึ่งคณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติได้ศึกษาและรวบรวมข้อมูลแล้ว จึงกำหนดให้มีสัญลักษณ์ประจำชาติไทย 3 สิ่งดังกล่าว ตามที่กระทรวงต่างประเทศเสนอ
สำหรับภาพลักษณ์สัตว์ประจำชาติ "ช้างไทย" .....ทางกรมศิลปากรได้ออกแบบ..... และคณะกรรมการ เอกลักษณ์ของชาติ ได้พิจารณาเห็นชอบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว. และเพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนตื่นตัว และจะได้เห็นความหลากหลาย ..ทางคณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติจะจัดให้มีการประกวดภาพ 3 สิ่งสร้างภาพ ลักษณ์ "ดอกราชพฤกษ์" ดอกไม้ประจำชาติและสถาปัตยกรรมประจะชาติ ......จึงได้แต่งตั้งคณะกรรมการจัดการ ประกวดภาพเพื่อให้ประชาชนได้ทีส่วนร่วมในการคัดเลือกรูปแบบสัญลักษณ์ประจำชาติต่อไป
ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี วันที่ 1 ก.พ. 2548 รับทราบเรื่องการกำหนดสัญลักษณ์ประจำชาติไทย ตามที่สำนักงานคณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอมา โดยกำหนดให้สัตว์ประจำชาติ คือ ช้างไทย ดอกไม้ประจำชาติ คือ ดอกราชพฤกษ์ หรือดอกคูน สถาปัตยกรรมประจำชาติ คือ ศาลาไทย ซึ่งคณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติพิจารณาการออกแบบภาพสัญลักษณ์ประจำชาติไทย ทั้ง 3 สิ่ง มาตั้งแต่ปลายปี 2544 โดยมอบหมายให้กรมศิลปากรเป็นผู้ออกแบบภาพช้างไทย ส่วนภาพดอกราชพฤกษ์และภาพศาลาไทยได้จากการประกวดการออบแบบ แต่มีการทบทวนและปรับปรุงแก้ไขภาพหลายครั้ง และคณะกรรมการฯ มีมติเห็นชอบภาพเอกลักษณ์ประจำชาติไทยทั้ง 3 สิ่ง ในการประชุมคณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ เมื่อวันที่ 27 ธันวาคมที่ผ่านมา


สัตว์ประจำชาติ


 




ดอกไม้ประจำชาติ 
 
 
 
 สถาปัตย์ปะจำชาติ

ดอกไม้ประจําชาติอาเซียน 10 ประเทศ

 


 
 1. บรูไนดารุสซาลาม (Brunei Darussalam) : ดอกซิมปอร์

          ดอกไม้ประจำชาติบรูไน ก็คือ ดอกซิมปอร์ (Simpor) หรือที่รู้จักกันในชื่อ ดอกส้านชะวา (Dillenia) ดอกไม้ประจำท้องถิ่นบรูไน ที่มีกลีบขนาดใหญ่สีเหลือง หากบานเต็มที่แล้วกลีบดอกจะมีลักษณะคล้ายร่ม พบเห็นได้ตามแม่น้ำทั่วไปของบรูไน มีสรรพคุณช่วยรักษาบาดแผล หากใครแวะไปเยือนบรูไน จะพบเห็นได้จากธนบัตรใบละ 1 ดอลลาร์ ของประเทศบรูไน และในงานศิลปะพื้นเมืองอีกด้วย

 
 2. ราชอาณาจักรกัมพูชา (Kingdom of Cambodia) : ดอกลำดวน

          กัมพูชามีดอกไม้ประจำชาติเป็น ดอกลำดวน (Rumdul) ดอกไม้สีขาวปนเหลืองนวล กลีบดอกหนาทึบและแข็งเล็กน้อย มีกลิ่นหอมเย็นแบบกรุ่น ๆ ถูกจัดเป็นไม้มงคลชนิดหนึ่งเพราะมีความหมายถึงความสดชื่นหอมกรุ่น และเป็นดอกไม้สำหรับสุภาพสตรี วิธีปลูกที่ถูกต้อง ต้องปลูกไว้ในทิศตะวันตกเฉียงเหนือของตัวบ้าน ที่สำคัญต้องปลูกในวันพุธ ด้วยนะ
 

 3. สาธารณรัฐอินโดนีเซีย (Republic of Indonesia) : ดอกกล้วยไม้ราตรี

          ดอกไม้ประจำชาติอินโดนีเซีย คือ ดอกกล้วยไม้ราตรี (Moon Orchid) ซึ่งเป็นหนึ่งในดอกกล้วยไม้ที่บานอยู่ได้นานที่สุด โดยช่อดอกนั้นสามารถแตกกิ่งและอยู่ได้นาน 2-6 เดือน โดยดอกจะบานแค่ปีละ 2-3 ครั้งเท่านั้น ทั้งนี้ดอกกล้วยไม้ราตรีสามารถเจริญเติบโตได้ดีในอากาศชื้น จึงพบเห็นได้ง่ายในพื้นที่ราบต่ำของประเทศอินโดนีเซีย


 
 4. สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (The Lao People's Democratic Republic of Lao PDR) : ดอกจำปาลาว

          ดอกไม้ประจำชาติประเทศเพื่อนบ้านของไทยอย่างประเทศลาว คือ ดอกจำปาลาว (Dok Champa) คนไทยรู้จักกันดีในชื่อ ดอกลีลาวดี หรือ ดอกลั่นทม โดยดอกจำปาลาวมักมีสีสันหลากหลาย ไม่เฉพาะเจาะจงว่าต้องเป็นเพียงสีขาวเท่านั้น เช่น สีชมพู สีเหลือง สีแดง หรือสีโทนอ่อนต่าง ๆ โดยดอกจำปาลาวนั้นเป็นตัวแทนของความสุขและความจริงใจ จึงนิยมใช้กันอย่างแพร่หลายเพื่อประดับประดาในงานพิธีต่าง ๆ รวมทั้งใช้เป็นพวงมาลัยเพื่อรับแขกอีกด้วย

 
 5. ประเทศมาเลเซีย (Malaysia) : ดอกพู่ระหง

          สำหรับประเทศมาเลเซียนั้น มีดอกไม้ประจำชาติเป็น ดอกพู่ระหง (Bunga Raya) ในภาษาท้องถิ่นเรียกกันว่า บุหงารายอ หรือที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อ ดอกชบาสีแดง ลักษณะกลีบดอกเป็นสีแดง มีเกสรยื่นยาวออกมาเหนือดอก ซึ่งถูกจัดให้เป็นสัญลักษณ์ของประเทศมาเลเซีย เพื่อเสริมสร้างความเป็นปึกแผ่นและความอดทนในชาติ โดยเชื่อว่าจะช่วยส่งเสริมให้สูงส่งและสง่างาม รวมทั้งยังสามารถนำไปใช้ในทางการแพทย์และความงามได้อีกด้วย


 
 6. สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ (Republic of the Philippines) : ดอกพุดแก้ว

          ดอกไม้ประจำชาติฟิลิปปินส์ คือ ดอกพุดแก้ว (Sampaguita Jasmine) ดอกมีสีขาวกลีบดอกเป็นรูปดาว มีกลิ่นหอม บานส่งกลิ่นในตอนกลางคืน ถือเป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์ เรียบง่าย อ่อนน้อมถ่อมตน รวมถึงความเข้มแข็งอีกด้วย เคยถูกนำมาใช้เฉลิมฉลองในตำนานเรื่องเล่ารวมทั้งบทเพลงของฟิลิปปินส์ด้วยเช่นกัน


 
 7. สาธารณรัฐสิงคโปร์ (The Republic of Singapore) : ดอกกล้วยไม้แวนด้า

          ประเทศสิงคโปร์ มี ดอกกล้วยไม้แวนด้า (Vanda Miss Joaquim) เป็นดอกไม้ประจำชาติ โดยดอกกล้วยไม้แวนด้าตั้งชื่อตามผู้ผสมพันธุ์ คือ Miss Agnes Joaquim จัดเป็นดอกกล้วยไม้ที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดในประเทศสิงคโปร์ มีสีม่วงสดสวยงามและเบ่งบานอยู่ตลอดทั้งปี โดยถูกจัดให้เป็นดอกไม้ประจำชาติสิงคโปร์ตั้งแต่ปี ค.ศ.1981 (พ.ศ.2524)

 
 8. ราชอาณาจักรไทย (Kingdom of Thailand) : ดอกราชพฤกษ์

          ดอกไม้ประจำชาติไทยของเรา ก็คือ ดอกราชพฤกษ์ (Ratchaphruek) ที่มีสีเหลืองสวยสง่างาม เมื่อเบ่งบานแล้วให้ความรู้สึกอบอุ่น ถือเป็นสัญลักษณ์ของความมีเกียรติยศศักดิ์ศรี ซึ่งชาวไทยหลายคนรู้จักกันดีในนามของ ดอกคูน โดยมีความเชื่อว่าสีเหลืองอร่ามของดอกราชพฤกษ์คือสีแห่งพระพุทธศาสนาและความรุ่งโรจน์ รวมทั้งยังเป็นสัญลักษณ์แห่งความสามัคคีปรองดองของคนในชาติอีกด้วย โดยดอกราชพฤกษ์จะเบ่งบานในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ – พฤษภาคม มีจุดเด่นเวลาเบ่งบานคือการผลัดใบออกจนหมดต้น เหลือไว้เพียงแค่สีเหลืองอร่ามของดอกราชพฤกษ์เท่านั้น

 
 9. สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม (The Socialist Republic of Vietnam) : ดอกบัว

          ประเทศเวียดนาม มีดอกไม้ที่คนไทยคุ้นเคยอย่าง ดอกบัว (Lotus) เป็นดอกไม้ประจำชาติ โดยดอกบัวเป็นที่รู้จักกันในนาม “ดอกไม้แห่งรุ่งอรุณ” เป็ญสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์ ความผูกพัน และการมองโลกในแง่ดี ดอกบัวจึงมักถูกกล่าวถึงในบทกลอนและเพลงพื้นเมืองของชาวเวียดนามอยู่บ่อยครั้ง

 
 10. สหภาพพม่า (Union of Myanmar) : ดอกประดู่

          ดอกไม้ประจำชาติของประเทศพม่า คือ ดอกประดู่ (Paduak) เป็นดอกไม้ที่พบมากในประเทศพม่า มีสีเหลืองทอง ผลิดอกและส่งกลิ่นหอมในฤดูฝนแรก ช่วงเดือนเมษายนซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ประเทศพม่ามีการเฉลิมฉลองปีใหม่ขึ้น ชาวพม่าเชื่อว่าดอกประดู่คือสัญลักษณ์ของความแข็งแรง ความทนทาน และเป็นดอกไม้ที่ขาดไม่ได้ในพิธีทางศาสนาของชาวพม่าเลย

วันพฤหัสบดีที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2556



ลักษณะการกินอาหารที่บ่งบอกนิสัยได้

 
1.  เมื่อทานอิ่มแล้วชอบที่จะดื่มน้ำรวดเดียวหมดแก้ว  ลักษณะนี้แสดงว่าเขาคนนั้นเป็นคนตรงไปตรงมา ถ้าไม่ชอบอะไรก็จะแสดงอาการออกมาทางสีหน้า ไม่เก็บไว้ ด้านความรักหากรักใครก็จะรักอย่างมั่นคง แต่ค่อนข้างเป็นคนใจร้อน
 
2.  ชอบกัดหลอดดูดน้ำ  พฤติกรรมนี้จะพบได้บ่อยจากคุณสาวๆ  เวลาดูดน้ำ หรือดูดเครื่องดื่มประเภทต่างๆ ก็มักเผลอกัดหลอดเ่ล่น แสดงว่าเป็นคนขี้เหงา จิตใจอ่อนไหวง่าย บ่อน้ำตาตื้น แต่เป็นคนจิตใจดี แคร์ความรู้สึกคนอื่น
 
3.  ชอบกัดผลไม้  ผลไม้บางอย่างเช่นแอปเปิ้ล หรือฝรั่ง  บางคนอาจใช้มีดมาเฉาะเป็นชิ้นๆ เพื่อรับประทาน แต่คนที่ชอบกัดลงไปทั้งลูก เป็นคนที่มักจะลงความเห็นในเรื่องดใดๆ โดยไม่ไตร่ตรองให้ลึกซึ้งเสียก่อน ตัดสินใจรวดเร็ว ไม่ค่อยรอบคอบ ความอดทนน้อย แต่เป็นคนติดดิน ไม่ชิงดีชิงเด่นกับใครใช้ชีวิตง่ายๆ
 
4.  ชอบกินก๋วยเตี๋ยวมากกว่าข้าว  คนที่ลักษณะนิสัยแบบนี้เป็นคนที่มีความร่ารักอยู่ในตัวเสมอ  แต่หลายๆ ครั้งที่ทำให้ เพื่อนๆสุดเซ็งได้กับความสุดจะดื้อ และแสนจะเอาแต่ใจตัวเอง
 
5.  ชอบใช้สองมือกุมถ้วยกาแฟ  ท่าทางลักษณะนี้เป็นคนที่มีหัวใจสุดแสนจะโรแมนติกแบบว่าถ้า ชวนแฟนมาบ้านก็คงต้องจุดเทียนบนโต๊ะกินข้าวด้วยนั่นแหละ คนอารมณ์นี้น่ะรักง่ายหลงง่าย ขี้น้อยใจแต่ก็รักเพื่อน และมีน้ำใจมากเลยนะ
 
ลักษณะการกิน บอกความเป็นตัวคุณ
ลักษณะการกิน บอกความเป็นตัวคุณ
6. ชอบดูดตะเกียบเวลากินก๋วยเตี๋ยว  หรือข้าวต้มกุ๊ย ถ้าใครมีอาการแบบว่าเผลอดูดปลายตะเกียบอยู่เรื่อยๆ เชียว แสดงว่าคนๆนั้นน่ะเป็นคนขี้ระแวงระวังมาก น้อยใจเก่ง แถมขี้หึงเป็นที่ 1อีกต่าง หากถ้ารักใครแล้วจะทุ่มเทมากจนถึงมากที่สุด
 
7. ชอบกินไข่แดงก่อนไข่ขาว  พวกชอบเจาะไข่แดงก่อนเนี่ยนะเป็นคนรักอิสระมาก หัวนอกคอกอีก ต่างหาก  ไม่ค่อยจะคล้อยตามกระแสโลก ชอบต่อต้าน ไม่ชอบให้ใครมาบงการ แต่บางทีตัวเองก็เผด็จการเหมือนกัน ลึกๆในใจน่ะอ่อนไหวนะ ชอบสัตว์เลี้ยง ชอบบันเทิงเริงรมย์ แล้วก็ช่างติช่างวิเคราะห์น่าดู
 
 

วันพุธที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2556

     

ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับภาษี

 



           การเสียภาษีเป็นหน้าที่ที่พึงต้องปฏิบัติในฐานะที่เป็นพลเมืองของประเทศชาติที่มีความรับผิดชอบคนหนึ่ง นอกจากบุคคลธรรมดาทั่วไปมีหน้าที่ต้องไปเสียภาษีแล้ว องค์กรทางธุรกิจก็มีหน้าที่ดังกล่าวเช่นเดียวกัน แต่จะมีความซับซ้อนในแง่ของรายละเอียดเนื้อหาที่เพิ่มมากขึ้นจากบุคคลธรรมดาอยู่ซักหน่อยแต่ก็ไม่ใช่อุปสรรคในการเรียนรู้ในเรื่องดังกล่าวแต่อย่างใด ซึ่งเรื่องของภาษีนั้นเป็นสิ่งจำเป็นที่เจ้าของธุรกิจรายใหม่จำเป็นต้องศึกษาและทำความเข้าใจให้ชัดเจนเสียก่อน เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจโดยตรง ทั้งยังมีผลในทางกฎหมายในการทำธุรกิจอีกด้วย โดยรายละเอียดของภาษีเบื้องต้นที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจมีดังนี้

           ภาษี หมายถึงเงินที่เรียกเก็บจากประชาชนเพื่อนำไปพัฒนาประเทศ ซึ่งมีอยู่ 2 ประเภทคือ ภาษีทางตรง เป็นภาษีที่   เก็บจากประชาชนที่มีรายได้จากการประกอบอาชีพและภาษีที่ได้จากกาฤรประกอบกิจการทางการค้า บริการ และอุตสาหกรรม และภาษีทางอ้อม เป็นภาษีที่เก็บจากประชาชนเมื่อซื้อสินค้าและบริการต่างๆที่เรียกกันอีกอย่างหนึ่งว่าภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งประชาชนทุกคนจำเป็นที่จะต้องเสียภาษีเพราะประโยชน์ของการเสียภาษีจะกลับมาตอบแทนประชาชนใน 2 ลักษณะคือ

1. นำไปจ่ายเงินเดือนให้ข้าราชการเพื่อให้บริการประชาชนและใช้จ่ายเป็นค่าน้ำ ค่าไฟ ของสถานที่ราชการต่างๆ

2. นำมาใช้ในการพัฒนาประเทศ เช่น สร้างถนน สร้างโรงเรียน เป็นต้น ประเภทของภาษีที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ ภาษีที่มีความเกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจมีอยู่มากมายหลายประเภท

แต่ในบทความนี้จะขอกล่าวถึงเพียง 2 ประเภทเท่านั้น คือ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีนิติบุคคล เหตุผลก็เนื่องมาจากมีความเกี่ยวข้องกับผู้ที่เริ่มทำธุรกิจใหม่ ที่กิจการยังไม่มีขนาดใหญ่โตมากนัก จึงเข้าเกณฑ์ของภาษีทั้ง 2 ประเภทนี้มากที่สุด ซึ่งรายละเอียดของภาษีทั้ง 2 ประเภทมีดังต่อไปนี้

- ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

คือ ภาษีที่เรียกเก็บจากบุคคลธรรมดาทั่วไป ตามที่กฎหมายบัญญัติและมีรายได้เกิดขึ้นตามเกณฑ์ที่กำหนด ซึ่งเจ้าของกิจการหรือธุรกิจอะไรก็ตามแต่ ที่มีตัวเองเป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียว จะเข้าข่ายอยู่ในหลักเกณฑ์ที่ต้องเสียภาษีประเภทนี้ โดยปกติจะทำการเรียกเก็บเป็นรายปี โดยรายได้ที่เกิดขึ้นในปีใดๆก็ตาม ผู้มีรายได้ต้องนำไปยื่นแสดงรายการภาษีที่กำหนดในช่วงระหว่างเดือนมกราคถึงเดือนมีนาคมของปีถัดไป

- ภาษีเงินได้นิติบุคคล

คือ ภาษีอากรประเภทหนึ่งที่บัญญัติไว้ ซึ่งจะเรียกเก็บจากนิติบุคคล ที่มีความหมายถึงการรวมตัวกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปในการจดทะเบียนเพื่อก่อตั้งกลุ่มขึ้นเพื่อประกอบกิจการอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งในที่นี้หมายถึงห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด ฯลฯ ด้วยเป็นต้น

 

เปิดเทอมพร้อมประชาคมอาเซียน

UploadImage


            ที่ประชุมทปอ. มีมติในการเลื่อนเปิดการเรียนระดับอุดมศึกษารองรับการก้าวสู่ประชาคมอาเซียน เพื่อความเป็นสากลและประโยชน์ในการทำกิจกรรมร่วมกันกับประเทศอื่นๆ ส่วนมหาวิทยาลัยให้เสนอที่ประชุมสภาแต่ละแห่งต่อไป ส่วนกรณีการรับตรงนักศึกษามหาวิทยาลัยร่วมกันจะเสร็จสิ้นภายในเดือน มี.ค.เตรียมการออกข้อสอบ 7 วิชาไว้พร้อมแล้ว

            ศ.ดร.ประสาท สืบค้า อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารีในฐานะประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมทปอ.มีมติเอกฉันท์ร่วมกันว่าในการที่เราจะร่วมเป็นประชาคมอาเซียนในปี 2558นั้น จึงเห็นชอบให้มีการเลื่อนการเปิดและการปิดภาคเรียนของมหาวิทยาลัย เพื่อให้มีความเป็นสากลสอดคล้องกับสมาชิกกลุ่มประเทศอาเซียน  เหมือนกับประเทศสมาชิกอาเซียนอีก 9 ประเทศที่มีการเปลี่ยนตรงกันแล้วซึ่งจะมีประโยชน์ในด้านการแลกเปลี่ยนนักศึกษา การจัดกิจกรรมการศึกษา การแลกเปลี่ยนผู้บริหารระดับสูง รวมไปถึงการจบการศึกษา ที่อาจจะเป็นอุปสรรคได้หากการเปิด-ปิดภาคเรียนของไทยไม่ตรงกัน ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยมีการเปิดภาคเรียนที่ 1ช่วงเดือน มิ.ย.-ต.ค. และภาคเรียนที่ 2 ช่วงเดือนพ.ย.-มี.ค. ซึ่งในการเลื่อนนั้นจะเสนอให้เป็น ช่วงเดือน ก.ย.-ธ.ค. และม.ค.-พ.ค.แทน  คาดว่าจะสามารถเริ่มการเลื่อนเปิดภาคเรียนในปีการศึกษา 2555 อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้เป็นข้อเสนอและมติของทางทปอ.เท่านั้นซึ่งจากนี้มหาวิทยาลัยแต่ละแห่งต้องนำเรื่องเสนอต่อที่ประชุมสภามหาวิทยาลัยพิจารณาต่อไป

           นอกจากไทยต้องปรับเข้าหาประเทศเพื่อนบ้านแล้ว ประเทศเพื่อนบ้านเองก็ต้องปรับบ้าง คือ จำนวนปีที่นักเรียน ต้องเรียนก่อนเข้าศึกษาระดับมหาวิทยาลัย ประเทศไทยและบางประเทศใช้เวลาเรียน 12 ปี แต่สำหรับพม่าและฟิลิปปินส์เรียน 10 ปี จึงอาจต้องออกแบบหลักสูตรให้ประเทศที่เรียนจำนวนปีน้อยกว่าได้เรียนเพิ่ม เช่น อาจมีวิชาปรับพื้นฐาน เป็นต้น เนื่องจากอาจจะกระทบกับอัตราค่าจ้างได้ หากจบปริญญาตรี แต่มีการเรียนในจำนวนปีที่น้อยกว่า เป็นต้น


           สำหรับการเตรียมการสอบรับตรงนักศึกษาเข้ามหาวิทยาลัยร่วมกัน ประธาน ทปอ.กล่าวว่า ที่ประชุมเห็นชอบด้านเทคนิคไปแล้ว เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม เช่น เรื่องการยืนยันสิทธิ การตัดสิทธิ การออกบัตรประจำตัวผู้สอบโดยการรับตรงร่วมกันจะทำให้เสร็จสิ้นภายในเดือนมีนาคมเพื่อไม่ให้กระทบกับการสอบแอดมิชชั่นส์กลาง ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 4 เมษายน - ต้นเดือนพฤษภาคม ดังนั้น เรื่องการออกข้อสอบ 7 วิชาได้เตรียมการเรียบร้อยแล้ว ไม่มีปัญหาใดๆ

           ประธาน ทปอ. กล่าวต่อว่า ที่ประชุมยังเห็นพ้องต้องกันอีกหลายประเด็น อาทิการเพิ่มเงินเดือนให้พนักงานมหาวิทยาลัยทั้ง 79 แห่ง จำนวนร้อยละ 5 ซึ่งหากไม่รีบจัดสรรให้ทันปีงบประมาณ 2554 จะทำให้เกิดผลกระทบกับการจัดสรรงบประมาณบุคลากรปี 2555 โดยทปอ.จะทำหนังสือยื่นไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการคนใหม่ต่อไป