วันจันทร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

 

             ลำดับพระบรมวงศานุวงศ์ ในรัชกาลปัจจุบัน

 ลำดับที่ 1 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช

ลำดับที่ 2 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ

ลำดับที่ 3 สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณฯ สยามมกุฎราชกุมาร

ลำดับที่ 4 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธรฯ สยามบรมราชกุมารี

ลำดับที่ 5 สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี

ลำดับที่ 6 สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตน์ราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี

ทรงเป็นพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว กับพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี

ลำดับที่ 7 สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์

พระนามเดิมว่า "หม่อมเจ้าหญิงกัลยาณิวัฒนา" เป็นพระธิดาในสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงสงขลานครินทร์ (สมเด็จพระบรมราชชนก) กับหม่อมสังวาลย์ มหิดล (สมเด็จพระบรมราชชนนี) ในสมัยรัชกาลที่ 7 ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็น "พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าหญิงกัลยาณิวัฒนา" ในสมัยรัชกาลที่ 8 เป็นที่ "สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้า" และได้กราบบังคมทูลลาออกจากฐานันดรศักดิ์ เพื่อทำการสมรสกับพันเอกอร่าม รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ จนกระทั่งในรัชกาลปัจจุบันจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานคืนฐานันดรศักดิ์

ลำดับที่ 8 ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตน์ราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี

พระนามเดิมว่า "สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าอุบลรัตน์ราชกัญญาฯ" เป็นพระราชธิดาพระองค์ใหญ่ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับ กับสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ต่อมาได้กราบบังคมทูลลาออกจากฐานันดรศักดิ์เพื่อทำการสมรส

ลำดับที่ 9 พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร

สกุลเดิม "อัครพงศ์ปรีชา" อภิเสกสมรสกับสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2544 ต่อมาเมื่อมีพระประสูติกาลพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงฐานันดรศักดิ์แห่งพระราชวงศ์ เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2548

ลำดับที่ 10 พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ

พระนามเดิมว่า "หม่อมหลวงโสมสวลี กิติยากร" เป็นธิดาของหม่อมราชวงศ์อดุลกิติ์ กิติยากร กับท่านผู้หญิงพันธุ์สวลี ยุคล อภิเษกสมรสกับสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร และได้รับสถาปนาให้ดำรงฐานันดรศักดิ์แห่งพระราชวงศ์ เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2520 ต่อมาในวันที่ 12 สิงหาคม 2534 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เฉลิมพระนามเป็น "พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ"
ลำดับที่ 11 พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา


ทรงเป็นพระธิดาในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร กับพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดามาตุ มีศักดิ์เป็นพระเจ้าหลานเธอพระองค์ใหญ่ในรัชกาลปัจจุบัน

ลำดับที่ 12 พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์

ทรงมีพระนามเดิมว่า "หม่อมเจ้าสิริวัณวรี มหิดล" เป็นพระธิดาในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร กับนางสุจาริณี วิวัชรวงศ์

ลำดับที่ 13 พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ

ทรงเป็นพระโอรสในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร กับพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายา

ลำดับที่ 14 พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์

ทรงเป็นพระธิดาในสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กับนาวาอากาศเอกวีรยุทธ ดิษยศรินทร์

ลำดับที่ 15 พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ

ทรงเป็นพระธิดาในสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กับนาวาอากาศเอกวีรยุทธ ดิษยศรินทร์ ปัจจุบันประทับอยู่กับพระบิดาที่ประเทศสหรัฐอเมริกา

ลำดับที่ 16 พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิมลฉัตร

ทรงเป็นพระธิดาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน กับพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประภาวสิทธินฤมล มีศักดิ์เป็นพระหลานเธอในรัชกาลที่ 5
ลำดับที่ 17 หม่อมเจ้าหลานเธอในรัชกาลปัจจุบัน

ราชสกุล "มหิดล" พระโอรสธิดาในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร
หม่อมเจ้าจุฑาวัชร (มหิดล) วิวัชรวงศ์
หม่อมเจ้าวัชเรศร (มหิดล) วิวัชรวงศ์
หม่อมเจ้าจักรีวัชร (มหิดล) วิวัชรวงศ์
หม่อมเจ้าวัชรวีร์ (มหิดล) วิวัชรวงศ์

ลำดับที่ 18 หม่อมเจ้าหลานเธอในรัชกาลที่ 4** (ทรงพระดำเนินตามศักดิ์ของพระบิดา และเรียงตามพระชันษา)

ราชสกุล "จิตรพงศ์" พระโอรสธิดาในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ ชั้น 4 เจ้าฟ้าฯ กรมพระยานริศรานุวัติวงศ์
หม่อมเจ้าหญิงกรณิกา จิตรพงศ์
ราชสกุล "ชยางกูร" พระโอรสธิดาในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ ชั้น 4 กรมหมื่นพงศาดิศรมหิป
หม่อมเจ้าวราชัย ชยางกูร (2470 - ปัจจุบัน) ***
หม่อมเจ้าเวียงวัฒนา ชยางกูร (2467 - ปัจจุบัน) ***
หม่อมเจ้าอุทัยเที่ยง ชยางกูร (2473 - ปัจจุบัน) ***
หม่อมเจ้าจรูญฤทธิเดช ชยางกูร (2475 - ปัจจุบัน) ***
ราชสกุล "ดิศกุล" พระโอรสธิดาในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ ชั้น 4 กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
หม่อมเจ้าหญิงกฤษณาพักตรพิมล ดิศกุล

ลำดับที่ 19 หม่อมเจ้าหลานเธอในรัชกาลที่ 5** (ทรงพระดำเนินตามศักดิ์ของพระบิดา และเรียงตามพระชันษา)

ราชสกุล "กิติยากร" พระโอรสธิดาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ ชั้น 5 กรมพระจันทรบุรีนฤนาท
หม่อมเจ้าวินิตา กิติยากร
หม่อมเจ้าสุวนิต กิติยากร
หม่อมเจ้ากิตติปียา กิติยากร
ราชสกุล "ระพีพัฒน์" พระโอรสธิดาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ ชั้น 5 กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์
หม่อมเจ้าวิพันธุ์ไพโรจน์ ระพีพัฒน์
หม่อมเจ้าดวงทิพโชติแจ้งหล้า ระพีพัฒน์
หม่อมเจ้าทิตยาทรงกลด ระพีพัฒน์
ราชสกุล "ฉัตรชัย" พระโอรสธิดาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ ชั้น 5 กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน
หม่อมเจ้าภัทรลดา (ฉัตรชัย) ดิศกุล
หม่อมเจ้าสุรฉัตร ฉัตรชัย
หม่อมเจ้าชายทิพยฉัตร ฉัตรชัย
ราชสกุล "วุฒิชัย" พระโอรสธิดาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ ชั้น 5 กรมหลวงสิงหวิกรมเกรียงไกร
หม่อมเจ้าหญิงวุฒิสวาท วุฒิชัย
หม่อมเจ้าหญิงวุฒิเฉลิม วุฒิชัย
หม่อมเจ้าหญิงวุฒิวิฑูร วุฒิชัย

ลำดับที่ 20 หม่อมเจ้าซึ่งเป็นพระนัดดาในกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ
ราชสกุล "รัชนี" พระโอรสธิดาในพระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์
หม่อมเจ้าหญิงศะศิธรพัฒนวดี รัชนี
หม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี

ลำดับที่ 21 หม่อมเจ้าซึ่งเป็นพระราชปนัดดาในรัชกาลที่ 5** (ทรงพระดำเนินตามศักดิ์ของพระบิดา และเรียงตามพระชันษา)
ราชสกุล "บริพัตร" พระโอรสธิดาในพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนครสวรรค์ศักดิ์พินิต
หม่อมเจ้าหญิงสุขุมาลมารศรี บริพัตร
ราชสกุล "ยุคล"
พระโอรสธิดาในพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธ์ยุคล
หม่อมเจ้าภูริพันธ์ ยุคล
หม่อมเจ้านวพรรษ์ ยุคล
หม่อมเจ้าหญิงภาณุมา ยุคล
พระโอรสธิดาในพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมพลทิฆัมพร หม่อมเจ้ามงคลเฉลิม ยุคล
หม่อมเจ้าเฉลิมสุข ยุคล
หม่อมเจ้าฑิฆัมพร ยุคล
พระโอรสธิดาในพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอนุสรมงคลการ หม่อมเจ้าจุลเจิม ยุคล
หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล
หม่อมเจ้าหญิงปัทมนรังษี ยุคล
หม่อมเจ้าหญิงมาลิณีมงคล ยุคล

คุณพลอยไพลิน เจนเซ่น****

พระธิดาในทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนฯ กับนายปีเตอร์ เจนเซ่น มีศักดิ์เป็นหลานเธอในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

คุณสิริกิติยา เจนเซ่น****

พระธิดาในทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนฯ กับนายปีเตอร์ เจนเซ่น มีศักดิ์เป็นหลานเธอในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ท่านผู้หญิงพันธุ์สวลี กิติยากร
นามเดิมว่า "หม่อมเจ้าหญิงพันธุ์สวลี กิติยากร" พระธิดาในพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธ์ยุคล กราบบังคมทูลลาออกจากฐานันดรศักดิ์เพื่อสมรสกับหม่อมราชวงศ์อดุลกิติ์ กิติยากร เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2499 เป็นพระมารดาในพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ

ท่านผู้หญิงทัศนาวลัย ศรสงคราม
พระธิดาในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ กับพันเอกอร่าม รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ มีศักดิ์เป็นพระราชภาคิไนยในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

นายสินธู ศรสงคราม
สามีท่านผู้หญิงทัศนาวลัย ศรสงคราม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานสมรส เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2516

ร้อยเอกจิทัศ ศรสงคราม

บุตรชายของท่านผู้หญิงทัศนาวลัย ศรสงคราม กับนายสินธู ศรสงคราม มีศักดิ์เป็นพระราชปนัดดาในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

หมายเหตุ
* ลำดับที่ 1 - 16 เรียงพระนามตามสำนักราชเลขาธิการ
** กำลังอยู่ในระหว่างการรวบรวมพระนาม และระบุเฉพาะเจ้านายที่ยังดำรงฐานันดรศักดิ์แห่งพระราชวงศ์
*** กำลังตรวจสอบว่ายังทรงมีพระชนม์อยู่หรือไม่
**** 2 ท่านนี้แม้จะเป็นสามัญชน แต่มีศักดิ์เป็นหลานเธอในรัชกาลปัจจุบัน บางครั้งจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ อยู่หน้าหม่อมเจ้าในราชสกุลอื่นๆ

วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
วัดพระแก้วมรกต วัดสำคัญที่สุดของกรุงรัตนโกสินทร์

วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า วัดพระแก้ว นั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นพร้อมกับการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๕ แล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๓๒๗
เป็นวัดที่สร้างขึ้นในเขตพระบรมมหาราชวัง ตามแบบวัดพระศรีสรรเพชญ สมัยอยุธยา วัดนี้อยู่ในเขตพระราชฐานชั้นนอก ทางทิศตะวันออก มีพระระเบียงล้อมรอบเป็นบริเวณ เป็นวัดคู่กรุงที่ไม่มีพระสงฆ์จำพรรษา ใช้เป็นที่บวชนาคหลวง และประชุมข้าทูลละอองพระบาทถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา

รัชกาลที่ ๑ โปรดเกล้าให้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรหรือพระแก้วมรกต พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของไทย มาประดิษฐาน ณ ที่นี้ วัดพระศรีรัตนศาสดารามนี้ ภายหลังจากการสถาปนาแล้ว ก็ได้รับการปฏิสังขรณ์สืบต่อมาทุกรัชกาล เพราะเป็นวัดสำคัญ จึงมีการปฏิสังขรณ์ใหญ่ทุก ๕๐ ปี คือในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลปัจจุบัน
เนื่องในโอกาสสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ครบ ๒๐๐ ปี ในปี พ.ศ. ๒๕๒๕ ที่ผ่านมา การบูรณปฏิสังขรณ์ที่ผ่านมา มุ่งอนุรักษ์สถาปัตยกรรมและศิลปกรรมอันเป็นมรดกชิ้นเอกของชาติ ให้คงความงามและรักษาคุณค่าของช่างศิลปไทยไว้อย่างดีที่สุด เพื่อให้วัดพระศรีรัตนศาสดารามนี้อยู่คู่กับกรุงรัตนโกสินทร์ตลอดไป
พระอุโบสถ
สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๑ เป็นพระอุโบสถขนาดใหญ่ หลังคาลด ๔ ระดับ ๓ ซ้อน มีช่อฟ้า ๓ ชั้น ปิดทองประดับกระจก ตัวพระอุโบสถมีระเบียงเดินได้โดยรอบ มีหลังคาเป็นพาไลคลุม รับด้วยเสานางรายปิดทองประดับกระจกทั้งต้น พนักระเบียงรับเสานางราย ทำเป็นลูกฟักประดับด้วยกระเบื้องเคลือบสีอย่างจีน ตัวพระอุโบสถมีฐานปัทม์รับอีกชั้นหนึ่ง ประดับครุฑยุดนาคหล่อด้วยโลหะปิดทอง มีเสารายเทียนหล่อด้วยทองแดงล้อมรอบทั้งสี่ด้าน
ผนังพระอุโบสถ ในรัชกาลที่ ๑ เขียนลายรดน้ำบนพื้นชาดแดง รัชกาลที่ ๓ โปรดเล้าฯ ให้ปั้นลายพุ่มข้าวบิณฑ์ ปิดทองประดับกระจก เพื่อให้เข้ากับผนังมณฑป ปิดทองประดับกระจก บานพระทวารและพระบัญชรประดับมุกทั้งหมด ฝีมือช่างสมัยรัชกาลที่ ๑ ที่เชิงบันไดมีสิงห์หล่อด้วยสำริดบันไดละคู่ รวม ๑๒ ตัว โดยได้แบบมาจากเขมรคู่หนึ่ง แล้วหล่อเพิ่มอีก ๑๐ ตัว
พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร

ภายในพระอุโบสถเป็นที่ประดิษฐาน พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร(พระแก้วมรกต)
พระพุทธรูปปางสมาธิ ทำด้วยมณีสีเขียวเนื้อเดียวกันทั้งองค์ หน้าตักกว้าง ๔๘.๓ ซม. สูงตั้งแต่ฐานถึงยอดพระเศียร ๖๖ ซม. ประดิษฐานอยู่ในบุษบกทองคำ พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มีพระราชศรัทธาสร้างเครื่องทรงถวายเป็นพุทธบูชา สำหรับฤดูร้อนและฤดูฝน
เครื่องทรงสำหรับฤดูร้อน เป็นเครื่องต้นประกอบด้วยมงกุฎพาหุรัด ทองกร พระสังวาล เป็นทองลงยา ประดับมณีต่างๆ จอมมงกุฎประดับด้วยเพชร
เครื่องทรงสำหรับฤดูฝน เป็นทองคำ เป็นกาบหุ้มองค์พระอย่างห่มดอง จำหลักลายที่เรียกว่าลายพุ่มข้าวบิณฑ์ พระเศียรใช้ทองคำเป็นกาบหุ้ม ตั้งแต่ไรพระศกถึงจอมเมาฬี เม็ดพระศกลงยาสีน้ำเงินแก่ พระลักษมีทำเวียนทักษิณาวรรต ประดับมณีและลงยาให้เข้ากับเม็ดพระศก
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสร้างเครื่องฤดูหนาวถวายอีกชุดหนึ่ง ทำด้วยทองเป็นหลอดลงยาร้อยด้วยลวดทองเกลียว ทำให้ไหวได้ตลอดเหมือนกับผ้า ใช้คลุมทั้งสองพาหาขององค์พระ
บุษบกทองที่ประดิษฐานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร สร้างด้วยไม้สลักหุ้มทองคำทั้งองค์ ฝังมณีมีค่าสีต่างๆ ทรวดทรงงดงามมาก เป็นฝีมือช่างรัชกาลที่ ๑ เดิมบุษบกนี้ตั้งอยู่บนฐานชุกชี พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้า ฯ ให้สร้างพระเบญจาสามชั้นหุ้มด้วยทองคำ สลักลายวิจิตรหนุนองค์บุษบกให้สูงขึ้น บนฐานชุกชีด้านหน้า ประดิษฐานพระสัมพุทธพรรณี เป็นพระพุทธรูปที่คิดแบบขึ้นใหม่ในสมัยรัชกาลที่ ๔ โดยไม่มีเมฬี มีรัศมีอยู่กลางพระเศียร จีวรที่ห่มคลุมองค์พระเป็นริ้ว พระกรรณเป็นแบบหูมนุษย์ธรรมดาโดยทั่วไป
หน้าฐานชุกชีประดิษฐานพระพุทธปฏิมากรฉลองพระองค์รัชกาลที่ ๑ และรัชกาลที่ ๒ องค์ด้านเหนือพระนามว่า พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก องค์ด้านใต้พระนามว่า พระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระพุทธรูปทั้งสองพระองค์นี้ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์สูง ๓ เมตร ทรงเครื่องแบบจักรพรรดิ์หุ้มทองคำ เครื่องทรงเป็นทองคำลงยาสีประดับมณี

วันอังคารที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

 

วิธีคลายร้อน วิธีแก้ร้อน 5 วิธีแบบง่ายๆ


วิธีคลายร้อน


         ข้อแรกขอของกินก่อนเลยอิอิ จัดไปครับ ผลไม้จำพวกแตงๆ แตงโม แตงไทย แคนตาลูป ผลไม้เหล่านี้ มีส่วนประกอบของน้ำสูงถึง 95% จึงสามารถทดแทนน้ำในร่างกายที่สูญเสียไปเนื่องจากอากาศร้อนได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังอุดมด้วยโปแตสเซียม



วิธีคลายร้อน

           2. อาบน้ำและทาด้วยแป้งเย็น อากาศร้อนแบบนี้ทำให้เกิดผด ผืน ได้ง่าย เพราะฉนั้นชำระล้างร่างกายเพื่อให้ร่างกายสดชื่นและเพิ่มความเย็นสุดขั้ว ด้วยแป้งเย็น ก็คลายร้อนได้มากทีเดียว





วิธีคลายร้อน

          3. เปิดพัดลมแรงๆ หรือใครมีแอร์ก็จัดไปโล้ด เปิดแอร์ตอนกลางวันที่บ้านค่าไฟก็แพงแสนแพง เอางี้..แนะนำไปเดินห้างดีกว่า ไม่ได้เสียค่าไฟ ไปนั่งอ่านหนังสือชิวๆ ในร้านฟาสฟู้ดก็ดีเหมือนกัน





วิธีคลายร้อน

         4. ไอศครีม จัดไปทั้งแบบแทง แบบตัก ความเย็นชื่นใจของเจ้าไอติมจะช่วยให้เพื่อนๆสดชื่นขึ้นได้



กางเกง

         5. ใส่เสื้อผ้า สบายๆ ชิวๆ แขนยาว ขายาวเก็บเข้าตู้ไปก่อน เพราะอากาศร้อนๆใส่แบบนั้นมันจะเพิ่มความร้อนเอาได้ เน้นเสื้อผ้าสีอ่อนๆ เพราะเสื้อผ้าสีเข้มจะทำให้เรารู้สึกร้อนยิ่งขึ้น
         

เคล็ดลับผิวสวย



 
       ผิวพรรณที่ดูนุ่มนวลชุ่มชื้นทั่วทั้งเรือนกาย ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ผู้หญิงปรารถนา แม้จะมีผลิตภัณฑ์เพื่อดูแลผิวมากมายที่ถูกผลิตขึ้นมาเพื่อดูแลและบำรุงผิวของสาว ๆ โดยเฉพาะ แต่ก็ยังอดคิดไม่ได้ว่า ถ้าได้ดูแลอย่างเป็นธรรมชาติที่สุดก็คงจะดีกว่า วันนี้เราก็เลยนำวิธีการดูแลรักษาผิวพรรณของสาว ๆ ด้วยการใช้พืชพรรณธรรมชาติมาฝากกันค่ะ

น้ำมันละหุ่ง ตัวเพิ่มความชุ่มชื้นแก่ผิวชั้นยอด
หากคุณมีปัญหาผิวแห้ง โดยเฉพาะที่หัวเข่าหรือว่าข้อศอก ให้ใช้น้ำมันละหุ่งทาบาง ๆ ทิ้งไว้ข้ามคืน โดยใช้ผ้าพันทับเอาไว้เพื่อป้องกันเลอะเทอะที่นอน ในตอนเช้าคุณจะพบว่าผิวดูเนียนและชุ่มชื้นขึ้นมาก หากทำเป็นประจำติดต่อกัน รับรองได้ว่าปัญหาผิวแห้งลอกจะไม่มาเยือนคุณอีกเลย

อัลมอนด์ เพื่อผิวสวย
ถั่วอัลมอนด์ เป็นแหล่งของสารแอนตี้ออกซิแดนท์ชั้นเยี่ยม อันจะทำให้ผิวคุณชุ่มชื้นและสุขภาพดี อย่าลืมกินถั่วอัลมอนด์วันละหนึ่งกำมือเล็ก ๆ เป็นประจำ นอกจากจะช่วยเรื่องผิวพรรณแล้ว สุขภาพโดยรวมของคุณก็ยังดีขึ้นด้วยค่ะ

โจโจบา ออยล์ สำหรับผิวแห้ง
น้ำมันจากเมล็ดโจโจบา เป็นที่รู้จักกันดีว่ามีคุณสมบัติในการรักษาอาการบาดเจ็บของบาดแผล ส่วนคุณสมบัติที่ใช้ในการดูแลผิวนั้นจะช่วยบรรเทาอาการแห้งและลอก จึงใช้ได้ผลดีในผู้ที่มีผิวแห้ง คัน และลอก โดยใช้โจโจบาออยล์เพียงเล็กน้อยทาที่ผิวเท่านั้นเอง

นมเปรี้ยว ใช้ล้างหน้า
นมเปรี้ยวรสธรรมชาติสามารถนำมาใช้ล้างหน้าได้ เพื่อชำระล้างสารตกค้างจากสารเคมีในเครื่องสำอาง รวมทั้งกรดแลคติกที่มีอยู่ในนมเปรี้ยว ยังช่วยผลัดผิวคุณอย่างอ่อนโยนด้วย

อโวคาโด บำรุงพิเศษสำหรับผิวแห้งมาก
สาวคนใดที่มีผิวแห้งมาก ๆ อย่าลืมนึกถึงอโวคาโด แค่ใช้อโวคาโดสุกกำลังดี บดให้ละเอียด แล้วใช้นวดผิวหลังอาบน้ำ จากนั้นใช้ผ้าเช็ดเอาเศษที่เหลือออกไป คราวนี้ก็จะได้ผิวนุ่ม ๆ น่าหยิกแล้ว

น้ำมะนาว เครื่องดื่มดีท็อกซ์เพื่อผิวสวย

หยดน้ำมะนาว หรือ ฝานมะนาวบาง ๆ ลงไปในน้ำอุ่นจัด 1 แก้ว ดื่มแบบนี้ให้ได้สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง น้ำมะนาวจะช่วยกระตุ้นระบบขับถ่าย รวมทั้งล้างพิษสะสมที่ไตและตับของคุณ ส่งผลให้ผิวพรรณดูสดใสขึ้นด้วย


 
10 อันดับการลดน้ำหนักทันใจแบบง่ายๆ
 
 


1 หยุดขี้เกียจ!!!
หลายคนฝันอยากจะมีหุ่นดีเหมือนพวกนางแบบ อยากจะลดน้ำหนักให้ได้ แต่ทำตัวขี้เกียจ!! ไม่เคยออกกำลังกาย บ่นเหนื่อยจะตาย ทำงานก็หนักพอและ กลับบ้านไปนอน ว่างๆก็ดูทีวี เล่นเฟสบุคกับเพื่อนเป็นชั่วโมง เอาขนมมานั่งกินด้วย ปากก็หยุดกินไม่ได้ หยิบๆๆๆ เป็นแบบนี้ทุกวี่ทุกวัน มันจะไปผอมอะไรแม่คู๊ณ!!!! อยากจะหุ่นดีเริ่มต้นง่ายๆไม่ต้องพึ่งมีดหมอ ไม่ต้องพึ่งยาลดความอ้วนให้ตายไว ตั้งใจและคิดกับตัวเองจริงๆจังๆว่า ฉันต้องมีหุ่นที่ผอมเพรียวให้ได้สักวัน มีวินัยกับตัวเอง หยุดขี้เกียจและกลับไปลงมือทำทุกข้อที่แนะนำมา ก็ช่วยให้สาวๆทุกคนมีหุ่นผอมเพรียวแบบทันใจแล้วจ้า ง่ายๆแค่นี้แหล่ะ!! จบ!!

2 ไม่อดอาหารแต่ทานให้มากขึ้น!!!
จริง ๆ แล้ว การลดน้ำหนักที่ดีที่สุดคือการกินอาหารให้มากขึ้นต่างหาก เอ๊ะยังไง!! ในอันดับที่ 2 เราไม่ได้หมายถึงให้คุณสวาปามนะจ๊ะ เพราะอาหารที่เราแนะนำให้คุณสาว ๆ ทานเพิ่มคือ อาหารจำพวกผักผลไม้ที่เป็นอาหารมากคุณประโยชน์ต่างหากล่ะ ส่วนอาหารทั้งหลายที่คุณชอบก็ยังสามารถทานต่อไปได้ ไม่จำเป็นต้องไปอดๆอยากๆอาหารที่เราอยากจะกินจนขาดใจตาย แค่ลดปริมาณให้น้อยลงนิดนึงก็พอ ไม่เป็นการทำลายความสุขตัวเองและยังช่วยลดน้ำหนักได้ดีอีกด้วย

3 ออกกำลังกาย
เมื่อพูดถึงการออกกำลังกาย สาว ๆ หลายคนอาจทำหน้าเซ็ง นึกถึงความเหนื่อยหนักยุ่งยาก และการฝืนใจ แต่ถ้าอยากหุ่นดีจริงๆ ลองเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ หากิจกรรมอย่างอื่นที่ช่วยให้คุณมีหุ่นผอมเพรียว แข็งแรง และสนุกไปพร้อม ๆ กัน อย่างเช่น การปั่นจักรยาน กีฬาริมชายหาด ล้างรถ เป็นต้น หรือถ้าไม่อยากออกไปไหน อยู่บ้านว่าง ๆ ไม่มีอะไรทำจะชวนแฟนหนุ่มเล่นจ้ำจี้ด้วยก็ยังได้นะ อันนี้รับรองหุ่นฟิตแอนด์เฟิร์มทีเดียว

4 เดินสูดอากาศนอกบ้าน
ไม่ใช่วิธีที่ยุ่งยากอะไรเลย ถ้าวันไหนแดดร่มลมตก อากาศดีๆ ลมพัดสบายๆ ลองออกไปเดินสูดอากาศนอกบ้านดูบ้างเป็นไง ถ้าไม่มีเวลามากพอ เดินสัก 10 นาที แค่ทำใจให้สบายๆกับอากาศดีๆ ก็ช่วยได้เยอะแล้วนะ

5 อย่าตามใจปาก
ห้ามยากอยู่นะ บางคนอดใจไม่ไหว เห็นแล้วมันอยากกะสวาปามให้เรียบ โดยเฉพาะกับอาหารแคลอรีสูงทั้งหลายที่คุณชอบ เค้กเอย ขนมหวาน พิซซ่า สปาเกตตี้ พวกนี่แหละตัวดีเลย แต่ถ้าอยากทานจริง ๆ ก็พยายามเลือกที่ทำด้วยชีสไขมันต่ำหรือพวก low-fat ก็พออนุโลมได้

6 ดื่มน้ำเยอะๆ ในแต่ละวัน
เป็นวิธีง่ายๆ เพราะผลการวิจัยบอกว่า น้ำจะช่วยเร่งระบบเผาผลาญ แถมหากดื่มน้ำก่อนมื้ออาหารเที่ยงยังช่วยให้เราทานอาหารได้น้อยลงด้วย เราควรดื่มน้ำเปล่าให้ได้อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว จะดีมากๆ

7 หาเพื่อนที่กำลังลดความอ้วนเหมือนกัน
หาใครสักคนนึงที่กำลังอยากลดน้ำหนักหรืออยากมีหุ่นสลิมเชฟเหมือนกัน ทานไปด้วยกัน ควบคุมน้ำหนักด้วยกัน ทำกิจกรรมหลายๆอย่างไปพร้อมๆกัน จุดประสงค์เดียวกันสองแรงแข็งขันจะทำให้เกิดแรงกระตุ้นให้สามารถเอาชนะความ อ้วนได้แบบคูณสองเลยนะเนี่ย!!

8 เต้นไปพร้อมกับฟังเพลง
อย่านั่งฟังเพลงเฉย ๆ ลุกขึ้นมาเต้นตามจังหวะเพลงโปรดไปด้วยดีกว่า จะเต้นท่าไหนยังไงก็ตามแต่คุณถนัด พยายามเต้นให้ได้อย่างน้อย 15 นาที ก็ไม่มากนะ แค่ 4-5 เพลงเองจริงม่ะ

9 เลือกจานข้าวใบเล็ก ๆ ก็พอ
ยิ่งพื้นที่จานเล็กเท่าไหร่ คุณก็จะทานอาหารได้น้อยกว่าจานใหญ่แน่นอน แม้จะเป็นอาหารชนิดเดียวกัน หากนึกภาพไม่ออกลองคิดง่าย ๆ เวลาทานอาหารจานหนึ่งหมดแล้ว เราจะรู้สึกว่า กินหมดจานและอิ่มดีกว่า นั้นเท่ากับเราไม่ได้ทานเยอะไงล่ะ นอกจากว่าเราจะก็ขอเบิ้ลจานที่สองหรือเติมข้าวเพิ่ม อันนั้นก็อ้วนอยู่ดี อิอิ

10 อย่าปล่อยให้ตัวเองว่าง
หากิจกรรมอย่างอื่นทำซะ อาจจะดูโทรทัศน์ ดูหนัง ฟังเพลง อ่านหนังสือ ทำงานบ้าน เลือกกิจกรรมที่ทำให้คุณแฮปปี้ เพราะถ้าคุณปล่อยตัวเองให้ว่าง อาจเกิดความรู้สึกเบื่อ ทีนี้ล่ะ คุณจะเริ่มหันไปหาของกินแล้ว อ้วนแน่ๆรับรอง!!
ปรัชญา

           “Philosophia” (Philosophy) แปลว่า “ความรักในปรีชาญาณ” (Love of wisdom) เนื่องจากชาว

กรีกโบราณมักเรียกตัวพวกเขาว่า “Wise men” เช่น Pythagoras (ราวปี 510 – 500 ก่อน ค.ศ.) ต้องการให้เรียกท่านว่า “Lover of wisdom” หรือ “Philosopher” นี่จึงเป็นที่มาของคำ “Philosophy” ซึ่งในสมัยต่อมา นักบุญโทมัส อาไควนัส (ค.ศ. 1225 – 1274) ก็ใช้คำว่า Philosophy มาแทนคำว่า “Wisdom”

           สรุปแล้วคำว่า “Philosophy” ตามความหมายของภาษา คือ ความรักความปราดเปรื่อง ความปรารถนาจะเป็นปราชญ์ นั่นคือ การรู้ว่าตัวเองไม่ฉลาด แต่อยากฉลาด

         ความหมายของคำ “ปรัชญา” (ภาษาไทย)
คำว่า “ปรัชญา” มีที่มาจากพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ (พระองค์วรรณ) อดีตราชบัณฑิต สาขาวิชาปรัชญา เป็นผู้แปลศัพท์คำว่า Philosophy เป็นคำว่า “ปรัชญา” โดยใช้รากศัพท์จากภาษาสันสกฤตว่า “ชฺญา” (รู้/เข้าใจ) เติมอุปสรรค ปฺร เป็น ปฺรชฺญา รวมแปลว่า “ความปราดเปรื่องหรือความรอบรู้”

           ดังนั้น คำว่า “ปรัชญา” (ภาษาไทย) จึงแปลว่า “ความรอบรู้ปราดเปรื่อง” ซึ่งเป็นความหมายในเชิงอวดตัว (ไม่เหมือนคำ Philosophy ซึ่งแสดงถึงความถ่อมตน) ความหมายของคำ “ปรัชญา” จึงไม่ตรงกับภาษาอังกฤษ/กรีก (Philosophy/Philosopia) มากนัก
          ข้อสังเกตเกี่ยวกับนิยามของคำว่า “ปรัชญา”
แม้ว่าไม่อาจนิยามความหมายของ “ปรัชญา” ได้ตรง หรือได้มติทางการ/สากล เราบอกได้เพียงแต่ว่าปรัชญามีลักษณะอย่างไร แต่จะให้นิยามตายตัว
เหมือนศาสตร์อื่น ๆ เช่น ศาสนาหรือวิทยาศาสตร์ ฯลฯ คงไม่ได้

         “Philosophy” สะท้อนถึงอะไร
จากนิยามของคำว่า “Philosophy” แสดงถึงคุณลักษณะของมนุษย์ ว่าเป็นสัตว์ที่มีคุณสมบัติพิเศษ คือ มีสติปัญญา (Intellectual) กล่าวคือ
มนุษย์ เป็นสัตว์ ต้องการอาหาร (เหมือนสัตว์) เพื่อบำรุงเลี้ยงร่างกาย แต่มนุษย์มีสติปัญญา มีความปรารถนาที่จะรู้ความจริง เพื่อตอบคำถาม “อะไร” และ “ทำไม” (Desire to know – Truth, What + why) เกี่ยวกับสาเหตุของเหตุการณ์และสิ่งที่เกิดขึ้น (Cause of event and happening) รอบตัว
มนุษย์จึงหาคำตอบที่ “พอคิด/หาเหตุผลได้” เพื่อได้คำตอบ (What) และเหตุผล (Why)

           สรุปความหมายของ “ปรัชญา”
สรุปความหมายของปรัชญาได้ว่า
ก. ปรัชญา คือ การแสวงหาความจริง อาศัยเหตุผล
ข. ปรัชญาคือการค้นพบความรู้เกี่ยวกับ “ความจริง” ซึ่งเป็นความรู้ที่อยู่เหนือความรู้ตามกฎเกณฑ์ที่ตายตัว และเป็นความรู้ที่มีลักษณะเป็น “ศิลป์” และเป็นความรู้ในฐานะ “ศาสตร์พิเศษ” ของมนุษย์

         เรียนปรัชญาไปทำไม

1 ถ้าเรียนเพื่อใช้ประกอบอาชีพ อาชีพ “นักปรัชญา” คงตกงาน

2 ถ้าถามคนทั่วไป นอกจากจะไม่ได้คำตอบแล้ว เรายัง (อาจ) ได้คำถามเพิ่มเติมอีกว่าปรัชญาคืออะไร ไม่เคยได้ยิน ไม่เคยรู้จัก หรือเคยได้ยิน แต่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร

3 เสนอแนะให้เริ่มต้น ด้วยการพิจารณาตัวอย่างขององค์กรที่นำปรัชญามาช่วยจัดระบบความคิด และอธิบายคำสอน จากร่องรอยในประวัติศาสตร์ พบว่ามีหลายองค์กร ที่นำปรัชญามาช่วยจัดระบบ และอธิบายคำสอนที่สำคัญองค์กรหนึ่ง ได้แก่ ศาสนาคริสต์ โดยเฉพาะตัวอย่างที่มีบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรที่มีพัฒนาสู่ปัจจุบัน จากประมวลกฎหมายพระศาสนจักรโรมันคาทอลิก ค.ศ. 1983 ในบรรพที่ 2 ว่าด้วยเรื่องประชากรของพระเจ้า หมวดการอบรมผู้เตรียมเป็นศาสนบริกร (สมณะ) มีการกล่าวถึงการศึกษาวิชาปรัชญาในสองมาตราที่สำคัญ คือ

ก. ประมวลกฎหมายพระศาสนจักรโรมันคาทอลิก ค.ศ. 1983 มาตรา 250
ระบุว่าต้องศึกษาวิชาปรัชญาและเทววิทยา อย่างน้อย 6 ปี (ปรัชญา อย่างน้อย 2 ปี และศึกษาวิชาเทววิทยาอีก 4 ปี) เพื่อเตรียมเป็นศาสนบริกร (บาทหลวง)

ข. ประมวลกฎหมายพระศาสนจักรโรมันคาทอลิก ค.ศ. 1983 มาตรา 251
ยังระบุต่ออีกว่า “การให้การศึกษาอบรมวิชาปรัชญาต้องมีพื้นฐานบนปรัชญาที่เป็นมรดกตกทอดกันมาที่ใช้ได้อยู่ตลอดเวลา และต้องคำนึงถึงการค้นคว้าทางปรัชญาแห่งยุคสมัยด้วย การศึกษาอบรมนี้ต้องมุ่งให้เสมินาร์ (Seminarian, ผู้เตรียมตัวเป็นบาทหลวง) มีการพัฒนาทางด้านความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ มีสติปัญญาเฉียบแหลมและช่วยเขาให้มีความพร้อมมากขึ้นที่จะศึกษาเทวิทยาต่อไป”

          จากตัวอย่างของประมวลกฎหมายพระศาสนจักรโรมันคาทอลิก แสดงให้เห็นว่า พระศาสนจักรโรมันคาทอลิก (โดยเฉพาะผู้นำ และนักวิชาการในศาสนาคริสต์) ซึ่งมีประสบการณ์ในการนำปรัชญามาช่วยจัดระบบและอธิบายคำสอนในคริสต์ศาสนามาตั้งแต่ยุคแรก ยุคกลาง สืบจนยุคสมัยปัจจุบัน ให้ความสำคัญต่อการศึกษาวิชาปรัชญา เพื่อการพัฒนาสติปัญญาของผู้รับการอบรมสู่การเป็นบาทหลวง (สมณะ) ดังนั้น จากแนวทางของประมวลกฎหมายพระศาสนจักรโรมันคาทอลิก ค.ศ. 1983 จึงเป็นแนวทางให้สรุปได้ว่า เรียนปรัชญาเพื่อ
“คิดให้เป็น วิเคราะห์ได้
แก้ปัญหา (อธิบายความเชื่อ) ได้ แบบ มนุษย์”

            แนวทางและความท้าทายของการศึกษาวิชาปรัชญา
 แนวทางการศึกษาวิชาปรัชญา

            จากตัวอย่างการสรุปความหมายของปรัชญาที่ได้นำเสนอไปข้างต้น (ข้อ 1.1.5) ว่า ปรัชญาเป็นการแสวงหาความจริง อาศัยเหตุผล และปรัชญา คือ การค้นพบความรู้เกี่ยวกับ “ความจริง” ซึ่งเป็นความรู้ที่อยู่เหนือความรู้ตามกฎเกณฑ์ที่ตายตัว และเป็นความรู้ที่มีลักษณะเป็น “ศิลป์” และเป็นความรู้ในฐานะ “ศาสตร์พิเศษ” ของมนุษย์ ซึ่งมีแนวทางการศึกษาวิชาปรัชญาได้ดังนี้

          วิชาปรัชญา    เป็นการศึกษา “คำตอบที่เป็นไปได้ ตามเหตุผลของมนุษย์เกี่ยวกับความจริง” (ในฐานะที่มนุษย์ยุคปัจจุบันได้รับมรดก/อารยธรรมจากบรรพบุรุษ/มนุษย์ในอดีต) เพื่อเป็นพื้นฐาน

ก. คำถามเชิงปรัชญา – มีพื้นฐานจาก “ความไม่เคยชินกับโลกและสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว/ในตัวเอง” นำสู่ “ความสงสัยแบบปรัชญา” ในประเด็นว่า สิ่งนั้น คืออะไร และทำไมจึงเป็นอย่างนั้น? (What + Why) แล้วจึงหาคำตอบอย่างสมเหตุสมผล

ข. คำตอบเชิงปรัชญา – การทำงานในระดับสติปัญญา (ผัสสะ – สติปัญญา) คิดหาคำตอบที่เป็นไปได้ตามเหตุผล (อย่างไม่มีวันสิ้นสุด) เพื่อตอบคำถามว่า
1) อะไรคือความจริง ทฤษฏีความจริง
2) รู้ความจริงได้อย่างไร ทฤษฏีความรู้
3) เอาอะไรมาตัดสิน (ความงามและความดี)
ทฤษฏีความงามและ
ทฤษฏีจริยศาสตร์

ค. ข้อสังเกตเกี่ยวกับคำถาม
1) แต่ละวิทยาการ (ศาสตร์) ต่างมีคำถาม และพยายามหาคำตอบตามแนวทางของตน (ความเชื่อศรัทธา เหตุผล ประสาทสัมผัส)
2) ปรัชญาไม่สนใจคำถามหรือคำตอบ “ในรายละเอียดปลีกย่อย” เช่น ทำอย่างไรจึงได้ข้าว/ผลผลิตมากขึ้น ทำอย่างไรจึงบินได้ ทำอย่างไรจึงหุ่นดี ฯลฯ แต่ ปรัชญาสนใจคำถามที่เป็นส่วนลึกในจิตใจมนุษย์ เรามาจากไหน เราเป็นใคร เราจะไปไหนในวาระสุดท้ายของชีวิต
3) ปรัชญา ไม่มีการขีดเส้นตายจบตายตัวแบบ 1+1 เท่ากับ 2 ที่ทุกคนยอมรับ

         จากพื้นฐาน (ความคิด/คำตอบในอดีตของนักปรัชญาเกี่ยวกับความจริง ความรู้ ความงาม ความดี) นำสู่ “คำตอบของเราแต่ละคน” หรือที่เรียกว่า “ปรัชญาชีวิต” นั่นเอง

ความท้าทายของการศึกษาปรัชญา คือ ยังไม่มีมติสากล
          ปรัชญาไม่มีมติสากล แม้แต่คำว่า Philosophy เอง ยังไม่มีมติสากล เช่น ปรัชญาคือ ความรักในความจริง หรือ ปรัชญาคือ ความรักในความรู้ หรือปรัชญาคือการเปิดเผยการเผยแสดงของพระเจ้า เป็นต้น

       ปรัชญายังคงมี ปัญหาที่แก้ไม่ตก ยังไม่พอใจต่อคำตอบที่ได้รับ

       ประเด็นของปรัชญา คือ การตั้งคำถาม มากกว่าที่จะยอมรับคำตอบที่ได้รับ
 ปัญหาและเป้าหมายของปรัชญา
แต่ละศาสตร์ ต่างมีคำถาม ปัญหา/โจทย์ของ แต่ละศาสตร์มุ่งสู่ความจริงในระดับ (ธรรมชาติของศาสตร์) ที่ต่างกัน เช่น 1+1 = 2 เป็นความจริงที่คณิตศาสตร์มุ่งหา (ด้านปริมาณ ตัวเลข)

1 มีการแบ่งศาสตร์ใหญ่ ๆ เป็น 3 ศาสตร์ ได้แก่ ศาสนา ปรัชญา และวิทยาศาสตร์ (ต่างฝ่ายต่างมองว่าศาสตร์ของตนให้คำถามดีที่สุดเกี่ยวกับความจริง และหาเหตุผลมาอ้าง เพื่อบอกว่า คำตอบของศาสตร์ของตนดีที่สุด)

2 ความจริงเป็นหนึ่ง แต่มีหลายระดับและหลายมุมมอง แต่ละศาสตร์จึงต้อง รับผิดชอบที่จะตอบโจทย์/คำถาม/ปัญหา ของตน โดยแต่ละศาสตร์มีสมมติฐานที่แต่ละศาสตร์ยึด โดยแยกเป็นแต่ละศาสตร์
ได้คือ

ข้อสังเกตเกี่ยวกับปรัชญา : ปรัชญาเป็น “ศาสตร์” หรือไม่?
ปรัชญาเป็น “ศาสตร์” หรือไม่ เนื่องจาก

ก. นิยามของศาสตร์ ระบุว่าศาสตร์ต้องมีลักษณะที่แน่นอน ตายตัว ไม่เปลี่ยนแปลง แต่ ปรัชญาให้คำตอบที่ไม่แน่นอน ไม่ตายตัว บางครั้งจุดเน้นเปลี่ยนไปตามกาลเวลา/ยุคสมัย/สภาพสังคม

ข. วิธีการได้มาซึ่งความรู้ของศาสตร์คือ การทดลอง พิสูจน์ด้วยหลักการ ในขณะที่วิธีการได้มาซึ่งความรู้ทางปรัชญา ไม่ได้ผ่านกระบวนการทดลองและพิสูจน์ด้วยหลักการแบบศาสตร์อื่น ๆ (โดยเฉพาะวิทยาศาสตร์)





 ปรัชญา เป็นศาสตร์ เนื่องจาก

ก. ปรัชญาเป็นความรู้ที่แน่นอนเรื่องสาเหตุ ปรัชญาสนใจสาเหตุของทุกสิ่ง (ควรมองที่เนื้อหา ไม่ใช่รายละเอียดของคำตอบ)

ข. ในขณะที่ศาสตร์ทั่วไป (โดยเฉพาะวิทยาศาสตร์) มีการทดลอง พิสูจน์ด้วยหลักการและออกมาเป็นทฤษฏี และแม้ว่าปรัชญาจะไม่มีการทดลองและออกเป็นหลักการ แต่ปรัชญาเป็นการศึกษาหลักการพื้นฐานของความรู้ ซึ่งศาสตร์อื่น ๆ ไม่ได้ทำ ไม่สนใจ กล่าวคือ ในขณะที่ศาสตร์อื่นๆ โดยเฉพาะวิทยาศาสตร์ ไม่สนใจว่าสิ่งนั้นจริงหรือไม่ แต่สนใจว่ามันประกอบหรือมันเป็นไปอย่างไร ปรัชญาจึงเป็นศาสตร์แท้จริงและเป็นพื้นฐานของศาสตร์ทั้งหลาย

 ปรัชญา เป็นศาสตร์พิเศษ เนื่องจาก

ก. “เนื้อหา/เป้าหมาย” ของปรัชญา กล่าวคือ ปรัชญาศึกษาความเป็นจริงในด้านคุณค่า (ความหมายของความเป็นจริง) และมุ่งสู่สาเหตุสูงสุด (Ultimate cause) ในขณะที่ศาสตร์เฉพาะทาง (วิทยาศาสตร์) ศึกษา/สนใจคุณลักษณะเฉพาะของความเป็นจริง เช่น ดอกไม้สีแดง ปรัชญาสนใจดอกไม้ในฐานะสิ่งที่มีอยู่ ในขณะที่ศาสตร์เฉพาะจะสนใจรายละเอียด เช่น โครงสร้าง สี อายุ ฯลฯ

ข. ปรัชญาเป็นทั้งเอกภาพและหลากหลาย กล่าวคือ ปรัชญามีความเป็นเอกภาพด้าน “เนื้อหา/เป้าหมาย” แต่หลากหลายด้าน “คำตอบ” และกล่าวได้ว่าปรัชญาเป็นรากฐานของศาสตร์ทางทุกประเภท เพราะก่อนที่เราจะรู้ว่าสิ่งนั้นเป็นอย่างไร เราต้องรู้ก่อนว่าสิ่งนั้น คือ อะไร ซึ่งเป็นเนื้อหาที่ปรัชญาพยายามมุ่งตอบ

  ข้อสังเกตเกี่ยวกับวิธีการได้ความรู้/ความจริงซึ่งเป็นเป้าหมายของ/ทางปรัชญา

         เพื่อจะได้มาซึ่งความรู้ทางปรัชญา เราต้องใช้การทำงานของประสาทสัมผัสและสติปัญญา เพื่อหา “สาเหตุแรก” สิ่งสากล มโนภาพของสิ่งนั้น ปรัชญาเน้นการทำงานของสติปัญญา สนใจ “สารัตถะ” (Essence) ของสิ่งต่าง ๆ (Sense evidence - Intellectual evidence) สิ่งที่ปรากฏในสติปัญญา เช่น มนุษย์ ปรัชญาสนใจ “มโนภาพของมนุษย์ ซึ่งเป็นสากล” ไม่ใช่ปัจเจก อะไรที่ทำให้ นาย ก. นาย ข. เป็น มนุษย์ ดังนั้น จึงมีการเรียกปรัชญาว่า “อภิปรัชญา/Metaphysic” (เหนือกายภาพ)



สรุป

            ปรัชญามีลักษณะเป็น “ศาสตร์” และ “ศิลป์” กล่าวคือ เป็นทั้งการศึกษาหลัก/ความคิดของนักปรัชญา และการนำมาเป็นแนวคิด/หลักของเราเอง (ปรัชญาชีวิต) ดังที่ อิมรอน มะลูลีม (2539: 5) ได้เสนอความคิดว่า “ปรัชญาหมายถึงสองอย่างสำคัญ นั่นคือ ความรู้กับวิถีชีวิต...ความหมายของปรัชญาจึงมีสองทาง คือ ปรัชญาในฐานะที่เป็นความรู้และปรัชญาในฐานะที่เป็นวิถีชีวิต” ปรัชญาจึงเป็นวิถีทางที่สำคัญ อันประกอบด้วยการมีชีวิตอยู่ให้เป็นไปตามความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับคุณค่าและความหมายชีวิตนั่นเอง